- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- “ปริญญา” ชี้คนไม่เคารพกติกา รธน.อย่างหนา ก็แก้ปัญหาการเมืองไม่ได้
“ปริญญา” ชี้คนไม่เคารพกติกา รธน.อย่างหนา ก็แก้ปัญหาการเมืองไม่ได้
ยันปัญหาทั้งหมดเกิดจากกติกาของเราเอง ที่ทำให้อำนาจห่างไกลจากมือประชาชน ตกไปอยู่ในมือของผู้ตีความ อาจารย์นิติฯ มธ. มองระบบศาลไทยมีมาก แถมซับซ้อน สับสนไม่รู้เรื่องไหนอยู่ในขอบเขตของศาลใด
วันที่ 4 ธันวาคม สถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย จัดอบรมหลักสูตรการสื่อสารมวลชนระดับต้น (กสต.) รุ่นที่ 2 ณ ห้องประชุมอิศรา อมันตกุล สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย โดยมี ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ บรรยายหัวข้อ “กฎหมายมหาชนกับการเมืองไทย”
ดร.ปริญญา กล่าวว่า กฎหมายมหาชนเกิดขึ้นเพื่อจำกัดอำนาจรัฐให้อยู่ภายใต้กรอบกติกา และคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน โดยมีกลไกนิติบัญญัติเป็นผู้ตีความทางกฎหมาย แต่เมื่อมีการแบ่งแยกศาลกฎหมายมหาชนออกเป็นศาลรัฐธรรมนูญ และศาลปกครอง ส่งผลให้ระบบศาลเกิดความซับซ้อน เนื่องจากคดีบางคดีสามารถขึ้นศาลได้ทั้ง 2 ศาล เช่น กรณีมาบตาพุด ตาม ม. 67 ซึ่งเป็นข้อพิพาทเกี่ยวกับกฎหมายรัฐธรรมนูญ และอยู่ภายใต้เขตอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ แต่คดีก็สามารถเข้าสู่ศาลปกครองได้เช่นกัน
“การที่คดีขึ้นสู่ศาลได้ทั้ง 2 ศาล อาจมีคำตัดสินที่ต่างกันได้ โดยศาลหนึ่งอาจชี้ขาดว่าโมฆะ ขณะที่อีกศาลอาจชี้ขาดว่าไม่โมฆะ สุดท้ายใครจะเป็นผู้ชี้ขาดที่แท้จริง ทั้งนี้ จากเดิมคำพิพากษาจะไปสิ้นสุดที่ศาลฎีกา แต่ปัจจุบันศาลรัฐธรรมนูญ มีเพียงชั้นเดียว ไม่มีศาลอุทธรณ์หรือฎีกา ส่วนศาลปกครอง ก็มีศาลปกครอง และศาลปกครองสูงสุด เรียกว่ามีเพียงชั้นอุทธรณ์เท่านั้น จึงทำให้ไม่สามารถยุติได้ว่าคดีจะไปจบที่ศาลใด สิ่งเหล่านี้จึงเป็นเรื่องประหลาดอย่างมากของกระบวนการยุติธรรมในวงการศาลประเทศไทย”
ดร.ปริญญา กล่าวต่อว่า ศาลในประเทศไทยมีจำนวนมาก ทั้งศาลยุติธรรม ศาลแพ่ง ศาลอาญา ศาลปกครอง ศาลฎีกา ฯ ฉะนั้น อย่าว่าแต่ประชาชนเท่านั้นที่จะสับสน ผู้พิพากษาก็ยังสับสนเช่นกันว่า เรื่องใดอยู่ในขอบเขตของศาลใด
ส่วนปัญหาทางการเมืองที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่นั้น ดร.ปริญญา กล่าวว่า เกิดจากการที่ทุกคนไม่ได้เดินตามกติกา พร้อมเปรียบเทียบกับการแข่งขันฟุตบอล ซึ่งผู้เล่นต้องเคารพกติกา และกรรมการผู้ตีความกติกาก็ต้องทำหน้าที่อย่างเคร่งครัด เพื่อให้การแข่งขันสามารถดำเนินต่อไปได้ ฉะนั้น นักการเมืองก็ต้องเคารพกติกา ขณะเดียวกัน ศาล กรรมการตัดสินในระบอบประชาธิปไตยก็ต้องทำหน้าที่อย่างเที่ยงธรรม ไม่ใช่เพียงแต่เรียกร้องให้ประชาชนยอมรับคำพิพากษาเท่านั้น
ดร.ปริญญา กล่าวถึงการแก้ปัญหาทางการเมืองที่ผ่านมา เช่น กรณีปัญหาเรื่องความเกี่ยวพันของสองสภา คือระหว่างสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ซึ่งใช้วิธีการบัญญัติข้อห้ามเพิ่มเติมไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 โดยกำหนดให้ ส.ว. ต้องพ้นจากการเป็นสมาชิกทางการเมือง 5 ปีจึงจะสามารถลงสมัครเป็น ส.ว. ได้ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิด ส.ว. หน้าใหม่ หรือ ส.ว. ส้มหล่นจำนวนมาก เนื่องจากไม่มีคู่แข่ง เพราะ ส.ว. เก่ง ๆ ที่มีประสบการณ์ถูกตัดสิทธิหมด หรือกรณีปัญหาสภาสามีภรรยาที่มีการเพิ่มข้อห้ามไม่ให้คู่สมรสคนใดคนหนึ่งดำรงตำแหน่ง ส.ส.หรือ ส.ว. ซึ่งหากทั้งสองฝ่ายประสงค์จะเป็น ส.ส. หรือ ส.ว. ด้วยกันทั้งคู่ จึงเป็นที่น่าสังเกตว่า ต่างฝ่ายจะต้องหย่าขาดกันหรือไม่ เพื่อแลกกับการดำรงตำแหน่ง
“รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 มีจำนวนคำทั้งสิ้น 44,000 คำมากกว่ารัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 ถึง 7,000 คำ แต่กลับพบว่า รัฐธรรมนูญยิ่งหนากลับยิ่งแก้ปัญหาไม่ได้ ฉะนั้น จึงเห็นได้อย่างชัดเจนว่าปัญหาทั้งหมดเกิดขึ้นจากกติกาของเราเอง ที่ทำให้อำนาจห่างไกลจากมือประชาชนและตกอยู่ในมือของผู้ตีความ” ดร.ปริญญา กล่าว และว่าข้อบกพร่องเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องช่วยกันแก้ไข เพื่อให้การปกครองเป็นไปเพื่อประชาชน และโดยประชาชนอย่างเสมอกัน ภายใต้กติกา เพื่อให้บ้านเมืองสามารถเดินหน้าต่อไปได้