- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- คน 3 จว.ใต้ 56 % เชื่อปกครองตนเองในท้องถิ่นช่วยยุติความขัดแย้งได้
คน 3 จว.ใต้ 56 % เชื่อปกครองตนเองในท้องถิ่นช่วยยุติความขัดแย้งได้
มูลนิธิเอเชีย เปิดผลสำรวจคน 3 จังหวัดชายแดนใต้ สุ่มสัมภาษณ์ตัวต่อตัว ถามสาเหตุไฟใต้ 37% เชื่อเกิดจากความล้มเหลวของข้าราชการที่ไม่เข้าใจประชาชน 17% ชี้ขบวนการแบ่งแยกดินแดนเป็นประเด็นหลัก
วันที่ 16 ธันวาคม มูลนิธิเอเชีย (The Asia Foundation) แถลงข่าวเปิดเผยผลสำรวจเรื่อง ประชาธิปไตยและความขัดแย้งในภาคใต้: การสำรวจผู้มีสิทธิเลือกตั้งในจังหวัดยะลา นราธิวาส และปัตตานี ณ ห้องวิมานสุริยา โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ
การสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ.2553 (ภาคใต้ตอนล่าง) มีการเก็บข้อมูลในพื้นที่ใช้วิธีการสัมภาษณ์แบบตัวต่อตัว ระหว่างวันที่ 2 กรกฎาคม – 30 สิงหาคม 2553 โดยสุ่มตัวอย่างประชากรจำนวน 750 คนที่มีอายุอยู่ในเกณฑ์มีสิทธิเลือกตั้ง
เนื้อหาการสำรวจให้ความสำคัญกับอารมณ์ความรู้สึกของประชาชนในภาคใต้ ค่านิยม และสถาบันในระบอบประชาธิปไตย ความสนใจและพลังขับเคลื่อนทางการเมือง อิทธิพลต่อทางเลือกในการลงคะแนนเสียง สาเหตุความขัดแย้งในภาคใต้ แนวคิดเรื่องการแบ่งแยกดินแดน และการกระจายอำนาจ เป็นต้น
ผลสำรวจ พบว่า ประชาชนภาคใต้ตอนล่าง เป็นผู้ที่มองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับทิศทางของประเทศมากกว่าคนทั้งประเทศ จากการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนระดับประเทศเมื่อปี พ.ศ.2552 (ยกเว้นสามจังหวัดชายแดนภาคใต้) ร้อยละ 31 มองว่า ประเทศกำลังเดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง ขณะที่ร้อยละ 58 มองว่าประเทศกำลังเดินไปในทิศทางที่ผิด แต่ในทางกลับกัน ประชาชนในภาคใต้ตอนล่างร้อยละ 46 มองว่าประเทศกำลังเดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง มีเพียงร้อยละ 41 มองว่าประเทศกำลังเดินผิดทาง
เมื่อถามว่า ปัญหาใหญ่ที่สุดที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่นั้นคืออะไร การสำรวจเมื่อปี พ.ศ. 2552 พบว่า ร้อยละ 60 ตอบว่า เศรษฐกิจไม่ดี ขณะที่การสำรวจในปี พ.ศ. 2553 ประชาชนในภาคใต้ตอนล่าง ร้อยละ 23 มองว่าเป็นปัญหาทางเศรษฐกิจ และร้อยละ 20 มองว่าเป็นปัญหาความขัดแย้งในภาคใต้
เหตุการณ์ไม่สงบในภาคใต้เป็นประเด็นหลักอีกประเด็นหนึ่งของการสำรวจครั้งนี้ ร้อยละ 37 ของประชาชนภาคใต้ตอนล่าง เชื่อว่า เกิดจากความล้มเหลวของข้าราชการที่ไม่เข้าใจประชาชน ร้อยละ 17 เชื่อว่า ขบวนการแบ่งแยกดินแดนเป็นประเด็นหลัก นอกจากนี้ประชาชนส่วนใหญ่ในภาคใต้ตอนล่างถึงร้อยละ 56 เชื่อว่าการปกครองตนเองในท้องถิ่นจะช่วยยุติความขัดแย้งในภาคใต้ได้ แนวทางนี้เป็นแนวทางเดียวกับที่ประชาชนระดับประเทศและภาคใต้เลือกในฐานะแบบการปกครองที่มีประสิทธิผล (ร้อยละ 69 ระดับประเทศ และร้อยละ 67 ภาคใต้ตอนล่าง)
ขณะที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งร้อยละ 48 ทั้งในระดับชาติและภาคใต้ตอนล่าง อธิบายถึงลักษณะประชาธิปไตยในแง่สิทธิหรือเสรีภาพว่า ร้อยละ 36 ของประชาชนในระดับชาติ และร้อยละ 26 ของประชาชนภาคใต้ตอนล่าง เชื่อมโยงประชาธิปไตยเข้ากับการมีส่วนร่วม การเลือกตั้ง หรือการปกครองด้วยเสียงข้างมาก ร้อยละ 21 ไม่สามารถอธิบายลักษณะของประชาธิปไตยได้ และในระดับประเทศ มีเพียงร้อยละ 9 เท่านั้นที่ไม่สามารถอธิบายได้
แต่อย่างไรก็ตาม ประชาชนในระดับชาติร้อยละ 95 และประชาชนในภาคใต้ตอนล่างร้อยละ 82 ยังเชื่อว่าประชาธิปไตยเป็นรูปแบบการปกครองที่ดีที่สุด ระบอบการปกครองระบอบประชาธิปไตยยังได้รับการสนับสนุน แต่ประชาชนในภาคใต้ตอนล่างร้อยละ 61 และประชาชนระดับประเทศร้อยละ 51 กลับไม่คิดว่า ฝ่ายปกครองจะฟังเสียงของประชาชนมากนัก ประชาชนภาคใต้ตอนล่างร้อยละ 57 และผู้ลงคะแนนเสียงในระดับประเทศร้อยละ 64 ไม่เชื่อว่าผู้แทนในรัฐสภา จะพูดถึงปัญหาของจังหวัดที่ได้รับเลือกเป็นผู้แทน ขณะที่เสียงส่วนใหญ่ (ร้อยละ 84 ระดับประเทศ และร้อยละ 75 ภาคใต้ตอนล่าง) เชื่อว่าการแก้รัฐธรรมนูญควรให้มีการทำประชามติมากกว่าให้รัฐสภาตัดสิน
ส่วนในเรื่องการยอมรับเอกลักษณ์และวัฒนธรรมมลายู-ปัตตานีนั้น ผลสำรวจพบว่า ประชาชนในภาคใต้ตอนล่างเชื่ออย่างเกือบเป็นเอกฉันท์ว่าเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานรัฐในภาคใต้ควรพูดภาษามลายูถิ่นปัตตานีได้ และร้อยละ 97 ยังเชื่อว่าป้ายบนท้องถนนควรเขียนด้วยตัวอักษรไทยและตัวอักษรยาวี และนักเรียนระดับประถมต้นร้อยละ 96 ควรศึกษาทั้งภาษาไทยและภาษามลายูถิ่นปัตตานี
จากนั้นมีการวิเคราะห์และวิพากษ์ผลการสำรวจ โดยรองศาสตราจารย์ ดร.ฉันทนา บรรพศิริโชติ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า จากผลสำรวจพบว่า มีข้อมูลขัดแย้งในหลายส่วน เช่นในเรื่องการให้คุณค่าประชาธิปไตย คนในพื้นที่ 3 จังหวัดให้การสนับสนุนประชาธิปไตย โดยเฉพาะในแง่เนื้อหา ที่คำนึงถึงเรื่องสิทธิเสรีภาพ การมีส่วนร่วมมากกว่าการเลือกตั้ง แต่กลับพบว่า ในพื้นที่มีตัวเลขการซื้อเสียงกลับพุ่งสูง ฉะนั้น จึงต้องขยายความเข้าใจในเรื่องการเมืองให้กับคนในพื้นที่ 3 จังหวัดมากขึ้น
ขณะที่นายมูฮำมัดอายุบ ปาทาน บรรณาธิการศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ กล่าวว่า ผลสำรวจสะท้อนความต้องการของคนในพื้นที่ได้อย่างชัดเจน เช่น กรณีเรื่องป้ายบนท้องถนนที่ต้องการให้มีทั้งภาษาไทยและภาษามลายูถิ่นปัตตานีคู่กัน อีกทั้งสะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของสถาบันต่างๆ ในภาคใต้ ไม่ว่าจะมลายู หรือปัตตานี
นายมูฮำมัดอายุบ กล่าวด้วยว่า รายงานให้ความสำคัญกับเรื่องของศาสนา แต่กลับไม่มีการหยิบยกเรื่องกฎหมายอิสลามขึ้นมา ทั้งที่ในความจริงเป็นสิ่งที่คนในพื้นที่ต้องการอย่างมาก จึงเป็นที่น่าสังเกตว่าร อาจเป็นเพราะกรอบที่ต่างชาติมองประเทศไทยหรือไม่ นอกจากนี้ในรายงานยังมีข้อจำกัดเรื่องพื้นที่การสำรวจ โดยไม่มีการสำรวจประชาชนที่อยู่ในพื้นที่สีแดง ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้อาจมีความเห็นที่ต่างออกไปเช่นกัน