- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- เวที ‘สิงห์ดำ’เปิด 2 มุมมองรัฐศาสตร์กับความคาดหวังของสังคมไทย
เวที ‘สิงห์ดำ’เปิด 2 มุมมองรัฐศาสตร์กับความคาดหวังของสังคมไทย
‘ดร.วิทย์ สิทธิเวคิน’ ยันรัฐศาสตร์พัง ระบบสังคมก็เดินต่อไม่ได้ ขณะที่แฟนพันธุ์แท้การเมืองไทย มองการเมืองไทยพัฒนาเร็ว อยากเห็นสังคมไทยแยกแยะได้เห็นต่างกัน เลือกคนละพรรค ไม่จำเป็นต้องตีกัน
วันที่ 5 มกราคม คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดเวทีเสวนาย่อยในงานรัฐศาสตร์แฟร์ ครั้งที่ 7 หัวข้อ รัฐศาสตร์ “มุมมองจากคนนอก – คนใน” โดยมี ดร.วิทย์ สิทธิเวคิน อาจารย์พิเศษ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนายทศพล เชี่ยวชาญประพันธ์ แฟนพันธุ์แท้ การเมืองไทย ในฐานะศิษย์เก่าคณะรัฐศาสตร์ ร่วมเสวนา เพื่อเป็นสะท้อนความคิดเห็นต่อเหตุการณ์การบ้านเมืองที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว อีกทั้งเป็นเวทีในการสื่อสารแลกเปลี่ยนความคิดทางวิชาการ
ด้วยแนวคิดการเสวนาที่มองว่า รัฐศาสตร์เป็นศาสตร์ที่เกิดมาเพื่อบริหารจัดการ และปกครองบ้านเมือง แต่ยังไม่สามารถจัดการสถานการณ์เหล่านี้ได้ จึงเป็นข้อสงสัยว่ารัฐศาสตร์จะทำอะไรได้บ้างท่ามกลางข้อจำกัด และสถานการณ์บ้านเมืองปัจจุบันที่ไม่มีความแน่นอน ยากแก่การคาดการณ์ ด้านนักรัฐศาสตร์ ที่เรียกตนเองว่าเป็นนักปกครอง และเป็นศาสตร์ที่มีความเกี่ยวข้องโดยตรงมากที่สุดในการบริหารจัดการบ้านเมือง จะสามารถชี้อนาคตให้แก่บ้านเมืองได้อย่างไร จึงเป็นประเด็นในวงเสวนานี้
ดร.วิทย์ กล่าวว่า รัฐศาสตร์เหมือนเป็นระบบพื้นฐาน ซึ่งถ้ารัฐศาสตร์พัง ระบบสังคมก็ไปต่อไม่ได้ อาจเป็นระบบที่มองไม่เห็น แต่ถ้าไม่มีสังคมก็อยู่ไม่ได้ เพราะเราจะไม่รู้ว่าใครควรทำอะไร ที่สำคัญสำหรับคนที่เรียนรัฐศาสตร์ คือต้องไม่ลืมคิดว่าเราเป็นเพียงฟันเฟืองหนึ่งของสังคม ที่จะต้องนำความรู้ไปเชื่อมต่อกับแขนงอื่นๆ
“ที่ผ่านมาเมื่อเจอปัญหาเยอะๆ นักรัฐศาสตร์จะมุ่งวิเคราะห์ที่ตัวปัญหาจนลืมไปว่าทางออกคืออะไร ต้องมองด้วยว่าสังคมคาดหวังในตัวนักรัฐศาสตร์ เพราะสังคมต้องการตัวอย่าง และทางออกที่เป็นประโยชน์สามารถปฏิบัติได้จริง รวมทั้งต้องการมองเห็นภาพจากนักรัฐศาสตร์ อย่างที่สังคมมองไม่เห็นด้วยตนเอง”
ด้านนายทศพล กล่าวว่า นักรัฐศาสตร์ มีหน้าที่ชี้ถูก ผิดในสังคม แม้ว่าจะไม่ใช่ศาล แต่สังคมก็คาดหวังให้นักรัฐศาสตร์เป็นเหมือนศาล ที่จะต้องเสนอทางออกที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ด้วยหลักฐานทางวิชาการ และอคติที่น้อยที่สุด รวมถึงการมีจุดยืนที่ชัดเจน
“ยามที่ประเทศสงบ ไม่มีคนเห็นความสำคัญของรัฐศาสตร์ แต่ยามใดที่ประเทศมีวิกฤติทุกคนจะกลับมาเห็นความสำคัญ โดยเฉพาะวิกฤติเรื่องการเมืองที่เป็นหัวใจหลัก เพราะถ้าแก้วิกฤติการเมืองไม่ได้ ก็จะแก้วิกฤติอะไรไม่ได้เลย”
นายทศพล กล่าวด้วยว่า หากให้มองการเมืองไทยวันนี้ โดยพิจารณาย้อนไปในประวัติศาสตร์ ถือว่ามีพัฒนาการเร็วมากกว่าประเทศที่เป็นแม่แบบ ที่ต้องผ่านเหตุการณ์กว่าร้อยปี แต่ประเทศไทยผ่านไปเพียง 70 กว่าปีได้มาถึงขนาดนี้นับว่าดีมากแล้ว
“วิกฤติที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทยขณะนี้คงหนีไม่พ้น วิกฤติการเมือง ที่จะนำไปสู่ความรุนแรง จึงอยากเห็นสังคมไทยแยกแยะให้ได้ว่า บางเรื่องเรามีความเห็นต่างกันได้ แต่ไม่จำเป็นต้องตีกัน ประชาธิปไตยเป็นการปกครองระบบเดียวในโลกที่เปิดให้คนที่มีความคิดเห็นต่างกันอยู่ร่วมกันได้ โดยไม่ต้องฆ่ากัน ซึ่งสังคมไทยควรจะพัฒนาไปให้ถึงจุดนั้น ส่วนสิ่งที่มีผลทางกฎหมาย หรือศีลธรรม ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะปรองดอง สมานฉันท์กันได้ แต่ความคิดเห็นทางการเมือง เช่น ชอบคนละพรรค จะต้องอยู่ร่วมกันให้ได้ ต้องเข้าใจสิ่งเหล่านี้ แยกแยะความถูกผิด และเคารพความแตกต่างทางความคิด เพื่อให้อยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ เพราะตราบใดที่สังคมยังใส่ใจกันแต่ปัญหาการเมือง ปัญหาอื่นๆ ในสังคม เช่น ปัญหาความยากจน สังคม เศรษฐกิจ คนจนไร้โอกาส ก็จะไม่ได้รับการแก้ไข”