- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- นักรัฐศาสตร์ ชี้การเมืองกับคำทำนาย เป็นคนละเรื่องกัน แต่มีจุดร่วม
นักรัฐศาสตร์ ชี้การเมืองกับคำทำนาย เป็นคนละเรื่องกัน แต่มีจุดร่วม
ดร.เกษม เพ็ญภินันท์ มองภาพรวมรัฐศาสตร์ปัจจุบัน สั่นคลอน เหตุเอารัฐศาสตร์ไปผูกมัดกับเรื่องการเมือง ด้าน ดร.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ ชี้ปัจจุบันโหรถูกคาดหวังจากสังคม มากกว่านักรัฐศาสตร์แล้ว ไม่มีการตรวจสอบ หรือค้นหา ข้อเท็จจริง
วันที่ 6 มกราคม คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดเวทีเสวนาย่อยในงานรัฐศาสตร์แฟร์ ครั้งที่ 7 ภายใต้หัวข้อ "การเมืองกับการทำนาย: ความท้าทายของนักรัฐศาสตร์ไทย" ณ อาคารเปรม บุรฉัตร ชั้น 1 อาคารสถาบันภาษา โดยมี รศ.ธเนศ วงศ์ยานนาวา อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดร.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดร.อรรถกฤต ปัจฉิมนันท์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และดร.เกษม เพ็ญภินันท์ อาจารย์ประจำภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมเสวนา
รศ.ธเนศ กล่าวถึงภาพรวมเกี่ยวกับรัฐศาสตร์กับการทำนาย ว่า มนุษย์เกิดขึ้นมาพร้อมกับการทำนาย เพราะความสัมพันธ์ทางสังคม ที่เราเรียกว่าโครงสร้างทางสังคม เป็นความสัมพันธ์พื้นฐานที่สามารถคาดเดาได้ จนกลายเป็นสิ่งอัตโนมัติ ในขณะเดียวกันมนุษย์ทุกคนก็ต้องการควบคุมบางอย่างให้เป็นไปตามที่คาดหวัง โดยเชื่อว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรที่อยู่เหนือการควบคุม มนุษย์จึงพยายามหาบางอย่างมาควบคุม เช่น หมอดู หรือการการนั่งสมาธิ การบำเพ็ญตบะก็เพื่อควบคุมจิตใจ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการทำนาย เป็นการการพยายามควบคุมในสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ทั้งนั้น
รศ.ธเนศ กล่าวถึงการทำนาย มักมาพร้อมกับประสิทธิภาพของเทคโนโลยีสมัยใหม่ ที่สามารถควบคุมอะไรได้ ฉะนั้นกรอบแนวคิดนี้ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่หลายคนจะรำคาญกรอบความคิดแบบนี้ และยังเป็นปมด้อยของนักคิดสายสังคมศาสตร์ ที่ไม่มีความสามารถด้านคณิตศาสตร์
“วิชาที่ขยายตัวมากพร้อมกับการทำนาย คือ วิชาสถิติ ที่เข้ามามีบทบาทสำคัญในศาสตร์ต่าง ๆ เพื่อจัดการโอกาสต่าง ๆ ที่เป็นแบบสุ่ม สถิติถูกสร้างขึ้นเพื่อจัดการโอกาสของความเสี่ยงหรือสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถจัดการได้ และศาสตร์ของสถิติในวิชาการสาขาต่างๆ ล้วนมีความต้องการที่จะควบคุม ที่สุดแล้ว ศาสนา สถิติ วิชาการ ทุกแขนงมีความต้องการที่จะควบคุม เพราะเรากำลังทำในสิ่งที่ทำไม่ได้ แต่ถ้าทำได้เมื่อไหร่ก็เป็นสัตว์ประเสริฐเมื่อนั้น ท้ายที่สุดแล้วการควบคุมต่างๆ เหล่านั้นก็ไม่ต่างอะไรกับหมอดูนั่นเอง”
ขณะที่ ดร.พิชญ์ กล่าวว่า นักรัฐศาสตร์ไทยไม่ชอบการทำนาย แต่สังคมมักคาดหวังให้นักรัฐศาสตร์ทำนาย ด้วยคำถามที่ว่า จะเป็นอย่างไร และจะแก้อย่างไร ซึ่งคำทำนายทางการเมือง สามารถมีได้ เช่นในปัจจุบันมักมองว่าสังคมไทยเสื่อมลงทุกวัน ซึ่งเป็นความเชื่อของบุคคลที่มีอยู่แล้ว เพียงแต่เอาการทำนายนั้นมาเป็นตัวแบบ ขณะเดียวกันเครื่องมือในการทำนายบางครั้งก็ไม่สามารถควบคุมอำนาจ หรือความไม่แน่นอนได้ ดังนั้นที่เห็นว่า มีการอ้างโหร หรือสถิติ ตัวเลขทางรัฐศาสตร์เชิงปริมาณก็เพื่อยืนยันความเชื่อของที่มีอยู่แล้ว มากกว่ามีไว้เพื่อตรวจสอบ หรือค้นหา อย่างแท้จริง
“อีกประเด็นที่สำคัญคือปัจจุบันนี้โหรถูกคาดหวังจากสังคม มากกว่านักรัฐศาสตร์แล้ว ในอดีตมีคำว่ากลียุค และมิคสัญญี แต่ปัจจุบันสองคำนี้ถูกถอดออกมาใช้คำว่า ‘ภาวะวิกฤติ’ ที่พูดถึงกันมาก และคนที่ใช้มากคือ ประชาสังคม โดยเฉพาะ นพ.ประเวศ วะสี จะใช้คำว่าวิกฤติตลอด จึงจำเป็นต้องมีการปฏิรูปอย่างเร่งด่วน เพื่อให้พ้นจากภาวะมิคสัญญี ประเด็นนี้เหมือนเป็นเรื่องเดิม ที่ไม่ต้องทำนาย”
ด้าน ดร.อรรถกฤต กล่าวถึงรัฐศาสตร์ในเชิงปริมาณ ว่า ในการทำนายนั้นอาจทำนายได้ไม่ถึง 100% ถือว่าเป็นทางเลือกมากกว่า หรือเอาไปเป็นตัวสนับสนุนในรัฐศาสตร์เชิงปริมาณ แม้ว่าจะใช้ระเบียบวิธีอย่างเคร่งครัดในการพิจารณา หรือวิเคราะห์ วิจัย ด้านรัฐศาสตร์แล้ว ก็ยังไม่มีใครสามารถยืนยัน หรือทำนายการเมืองได้ เพราะมีตัวแปร หรือปัจจัยที่เกี่ยวข้องเป็นจำนวนมาก และเปลี่ยนแปลงได้”
ดร.อรรถกฤต กล่าวด้วยว่า สามารถนำเอา ‘ทฤษฎีเกมส์’ มาเป็นส่วนช่วยในการวิเคราะห์ได้ ด้วยการเรียกกลยุทธ์ที่ดีที่สุดในการแข่งขันกับคู่ต่อสู้ โดยมองเชื่อมกับจุดนโยบายศูนย์กลางกับทฤษฎีเกมส์ ในการคัดกรองว่าจะเลือกนโยบายไหน เช่น พรรคการเมืองจะเลือกนโยบายอย่างไรเพื่อให้ชนะการเลือกตั้ง แต่ก็ไม่สามารถทำนายได้เพียงจุดเดียว และต้องมองว่ามีความจริงอันไหนเข้ามาเกี่ยวข้องบ้าง เพื่อช่วยในการขับเคลื่อนความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง
ส่วน ดร.เกษม กล่าวถึงภาพรวมของรัฐศาสตร์ในปัจจุบันว่า มีความสั่นคลอน อย่างในประเทศไทยก็มีการเปลี่ยนขนบธรรมเนียม ประเพณีการศึกษา แทนที่จะศึกษาคุณค่าของรัฐศาสตร์ออกมาเป็นตัวเลขสถิติที่ประเมินออกมาได้เป็นรูปธรรม แต่กลับนำเอารัฐศาสตร์ไปผูกมัดกับเรื่องของการเมือง ไม่ได้ศึกษาในแง่ของสถาบันรัฐ หรือสถาบันศึกษาการเมือง ทั้งที่รัฐศาสตร์ควรศึกษาเรื่องของความคิด แนวคิด อุดมการณ์ ความยุติธรรม ความเสมอภาค และเรื่องของอำนาจต่าง ๆ รวมถึงการศึกษาในเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายกับสถาบัน บทบาทการจัดรูปแบบว่าใครมีหน้าที่อย่างไร อีกทั้งการจัดการบริหาร เช่น การรู้หน้าที่ การดูแลบริหารงาน
ดร.เกษม กล่าวถึงปรากฏการณ์การพยายามควบคุมในสิ่งที่ไม่รู้ ว่า เป็นการกระทำที่พยายามจะประกันอนาคตเท่านั้นเอง เนื่องจากเป็นสิ่งที่เดาได้ สรุปก็คือ พอมองออกว่า อนาคตจะเป็นเช่นไร เพื่อให้เห็นหนทางในสิ่งที่ควรจะเป็น เพราะไม่มีอะไรที่แน่นอนในสิ่งที่เราต้องการ
“ชุดของความรู้ หรือการศึกษาทางการเมืองไม่ได้เกิดขึ้นมาเพื่อทำนายว่าอนาคตทางการเมืองจะเป็นเช่นไร สิ่งที่สำคัญที่สุดของการศึกษาทั้งหมดไม่ได้อยู่ที่ว่าจะทำนายได้หรือไม่ แต่อยู่ที่ว่าบนความน่าจะเป็นคุณสามารถที่จะให้คุณค่า หรือเสนอทิศทางใดให้กับสังคมคือสิ่งที่สำคัญ แม้การเมืองกับการทำนาย จะเป็นคนละเรื่องกัน แต่มีจุดร่วมกัน เกี่ยวข้องกันเมื่อทั้งสองแขนงต้องการจะทำให้บ้านเมืองมั่นคง”