- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- สถาบันพระปกเกล้าเปิดเวทีถกยุทธศาสตร์ประเทศใน 4 มิติ
สถาบันพระปกเกล้าเปิดเวทีถกยุทธศาสตร์ประเทศใน 4 มิติ
เลขาธิการ ก.พ.ร. เสนอสร้างกลไกบริหารบ้านเมืองใหม่ ลดบทบาทกระทรวงเหลือดูนโยบาย-กำกับ ขณะที่ "ตระกูล มีชัย" ชี้กระจายอำนาจไม่จริง ทำให้สภาท้องถิ่นที่กลายเป็นที่ร้องเรียน ย้ำชัดต้องเร่งสร้างระบบถ่วงดุลให้อปท.ไปพร้อมๆกัน
วันที่ 20 มกราคม สำนักวิจัยและพัฒนา สถาบันพระปกเกล้า จัดสัมมนา “ยุทธศาสตร์ประเทศไทยในมิติการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และการบริหารระบบราชการ” ณ ห้องประชาธิปก สถาบันพระปกเกล้า ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ถนนแจ้งวัฒนะ โดยมี ศ.นพ.ประเวศ วะสี ประธานคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป กล่าวปาฐกถาพิเศษ “ยุทธศาสตร์การฟื้นฟูประเทศเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง”
ศ.นพ.ประเวศ กล่าวตอนหนึ่งว่า จุดสำคัญของการปฏิรูปประเทศต้องเริ่มจากการสร้างประชาธิปไตยชุมชน หรือ “ชุมชนาธิปไตย” ทำให้ชาวบ้านมีความเข้มแข็งในด้านเศรษฐกิจ จิตใจ สังคม การศึกษา ฯลฯ เพื่อเป็นพลังในการขับเคลื่อนสู่ประชาธิปไตยระดับประเทศ ทั้งนี้ต้องทำให้เกิด “เทศาภิวัฒน์” โดยปฏิรูประบบบริหารประเทศ กระจายอำนาจลงสู่ท้องถิ่น ให้ชุมชนบริหารจัดการตนเองได้ เพราะกระทรวง ทบวง กรม เป็นศูนย์รวมอำนาจทำให้ทุจริตคอร์รัปชั่นได้ง่าย ซึ่งก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำและไม่เป็นธรรมขึ้นในสังคม
รศ.ดร.ทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) และผู้รับผิดชอบแผนงานข้อเสนอการปฏิรูประบบการบริหารกิจการบ้านเมืองเพื่อการพัฒนาประเทศไทยอย่างยั่งยืน กล่าวถึงสังคมการเมืองในประเทศไทยมีปัญหาด้านความสมดุลระหว่างภาคการเมือง ระบบราชการ และประชาสังคม เพราะมีการกระจุกตัวของอำนาจอยู่ที่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ซึ่งต้องเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วม พร้อมสร้างกลไกบริหารใหม่ โดยการกระจายอำนาจสู่ระบบบริหารส่วนกลาง ภูมิภาค และท้องถิ่น โดยให้กระทรวง ทบวง กรม ทำหน้าที่เชิงนโยบาย และกำกับดูแลให้เป็นไปตามมาตรฐาน รวมทั้งสนับสนุนทางเทคนิควิชาการเป็นหลัก
“ด้านองค์กรสรรหาบุคลากรเข้ามาทำงานในส่วนราชการ เพื่อสร้างความโปร่งใสในการบริหารจัดการ ต้องผลักดันให้เกิดวิชาชีพด้านการสรรหาคณะทำงาน พร้อมทั้งมีใบรับรองมาตรฐานเหมือนประเทศอังกฤษหรือนิวซีแลนด์ ซึ่งจะช่วยลดการคอร์รัปชั่นภายในองค์กรได้มากขึ้น”
อย่างไรก็ตาม รศ.ดร.ทศพร กล่าวอีกว่า นอกจากการปรับเปลี่ยนองค์ประกอบภายนอกแล้ว ส่วนตัวราชการเองต้องเปลี่ยนกระบวนทัศน์การบริหารใหม่ เช่น ในอดีตนำวัตถุดิบไปให้ชาวบ้านสร้างอาชีพ แต่ไม่ได้เสริมสร้างองค์ความรู้ให้แก่ประชาชน จึงไม่สามารถนำไปต่อยอดเพื่อหาเลี้ยงชีพได้ ขณะที่พันธุ์พืช และสัตว์ ก็ต้องนำมาจากนายทุนซึ่งผูกขาดสินค้าดังกล่าว ทำให้ส่วนใหญ่ไม่สามารถนำไปขยายพันธุ์ต่อได้ ชาวบ้านจึงต้องซื้อทุกครั้ง จนต้องกู้เงินจากสถาบันการเงินก่อเป็นหนี้สินเพิ่มขึ้น
ส่วนรศ.ตระกูล มีชัย คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้รับผิดชอบแผนงานข้อเสนอการเข้าสู่ตำแหน่งผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่น กล่าวถึงโครงสร้างอำนาจที่ไม่มีการกระจายลงสู่ท้องถิ่นจริง ทำให้สภาท้องถิ่นที่รัฐบาลจัดตั้งกลายเป็นที่สถานที่ร้องเรียนเรื่องเพิ่มอัตราเงินเดือนของเจ้าพนักงาน ในขณะที่การบริหารจัดการเกิดความซ้ำซ้อนกับสภาชุมชน และคณะกรรมการหมู่บ้าน ทำให้สภาท้องถิ่นไม่สามารถทำหน้าที่สะท้อนเสียงของชุมชนสู่รัฐสภาได้อย่างแท้จริง
กรณีการเข้าสู่ตำแหน่งผู้บริหารส่วนท้องถิ่นโดยการเลือกตั้งโดยตรงนั้น รศ.ตระกูล กล่าวว่า เพื่อสร้างระบบถ่วงดุลให้องค์กรระดับท้องถิ่น เสนอให้มีตัวแทนของชุมชนภาคประชาสังคมเข้าไปทำงานควบคู่กับผู้แทนองค์กรบริหารท้องถิ่น ผลักดันข้อเสนอของชุมชนให้เกิดกระบวนการตัดสินใจสร้างความเจริญในท้องถิ่นให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
ขณะที่รศ.ดร.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงการสร้างความสัมพันธ์เชิงอำนาจใหม่ในระบบราชการ ว่า ควรเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนเข้ามาทำงานร่วมกัน โดยเฉพาะภาคประชาสังคมที่ต้องมีส่วนในการบริหารจัดการปัญหาหน่วยย่อยในชุมชน ในขณะที่ภาคประชาสังคมเองต้องยอมรับการตรวจสอบการทำงานจากภาครัฐด้วยเช่นกัน ทั้งนี้การบริหารจัดการต้องอยู่ในรูปแบบสัญญาว่าจ้าง เพื่อลดบทบาทอำนาจรัฐบางอย่าง และให้ความสำคัญกับหน้าที่ชุมชนมากขึ้น
“ยกตัวอย่างปัญหาขยะ เทศบาลไม่มีความสามารถในการจัดการขยะในเขตชุมชน ต้องว่าจ้างให้ชาวบ้านจัดการกันเองในรูปแบบงบประมาณสนับสนุน ตรงนี้สามารถพัฒนาเป็นรูปแบบสัญญาได้ เพื่อสร้างพื้นที่ให้ภาครัฐเข้าไปตรวจสอบชุมชนว่าสามารถบริหารจัดการขยะได้ตรงตามมาตรฐานหรือไม่”
ส่วนรศ.ดร. นันทวัฒน์ บรมานันท์ คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้จัดทำงานวิจัยการปรับโครงสร้างระบบรัฐสภา กล่าวถึงนักการเมืองในประเทศไทยส่วนใหญ่มีที่มาจากผู้ที่มีฐานะร่ำรวย และมีชื่อเสียงในสังคม ที่ต้องการสร้างอำนาจบารมีของตนให้เพิ่มขึ้นด้วยการลงสมัครเลือกตั้ง ซึ่งไม่ได้มีความเชี่ยวชาญในการบริหารประเทศเป็นหลัก ก่อให้เกิดการซื้อสิทธิ์ขายเสียง ผลสุดท้ายนักการเมืองที่เข้ามาทำงานจึงไม่ได้ทำเพื่อแก้ปัญหาของชาติแต่ทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน
“โจทย์ใหญ่ข้อหนึ่งที่ต้องเร่งแก้ไข คือทำอย่างไรให้คนที่ไม่มีฐานะ ไม่มีทรัพย์สิน แต่มีความสามารถในการทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เข้าไปอยู่ในรัฐสภาเพื่อเข้าไปมีส่วนร่วมในการสร้างกฏหมายให้ตอบโจทย์ความต้องการของคนในสังคมทุกระดับ”
ศ.ดร. นันทวัฒน์ กล่าวถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า ส่วนตัวเสนอให้ใช้สัดส่วน 400 แบบเขตเดียวเบอร์เดียว และ 100 โดยไม่ต้องจำกัดเสียงขั้นต่ำ แม้ผู้ที่ได้รับเลือกจะเป็นพรรคเล็กก็ไม่ใช่อุปสรรคแต่อย่างใด เพราะสามารถเป็นกระบอกเสียงให้กับประชาชนได้เช่นกัน และวิธีการนับคะแนนควรกลับไปใช้โครงสร้างตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 นำทุกหน่วยเลือกตั้งมารวมและนับพร้อมกัน ในขณะที่ต้องยกเลิกข้อจำกัดในการหาเสียงบางส่วน เพื่อลดบทบาทพรรคการเมืองที่ต้องพึ่งหัวคะแนนมากเกินไป อันเป็นต้นเหตุให้เกิดการซื้อสิทธิ์ขายเสียง