- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- รัฐอ่วมควักกระเป๋าจ่ายค่ารักษาพยาบาลขรก. 6 หมื่นล้านบาท/ปี
รัฐอ่วมควักกระเป๋าจ่ายค่ารักษาพยาบาลขรก. 6 หมื่นล้านบาท/ปี
นายกฯ แพลมตัวเลขเงินสวัสดิการทุกด้านอยู่ที่ประมาณร้อยละ 25 ของงบประมาณ เร่งมอบสำนักงบประมาณรวบรวเงินสวัสดิการทั้งหมดที่รัฐบาลดำเนินการอยู่ เพื่อทำให้ในอนาคตมีความชัดเจนเกี่ยวกับหลักประกันของปชช.-ภาระของรัฐบาลให้สามารถไปด้วยกันได้
ผู้สื่อข่าวรายงานวันนี้ (23 ก.พ.) ว่า นายชินภัทร ปันยารชุน ประธานชมรมเจ้าหน้าที่ของรัฐแห่งประเทศไทย และคณะประมาณ 20 คน ประกอบด้วยผู้แทนลูกจ้างส่วนราชการจากส่วนกลางและภูมิภาคที่เกษียณอายุ และยังไม่เกษียณอายุ เข้าเยี่ยมคารวะ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ณ ห้องสีฟ้า ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล เพื่อให้กำลังใจและขอขอบคุณที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยบำเหน็จลูกจ้าง (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2552
นายชินภัทร กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลที่คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยบำเหน็จลูกจ้าง (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2552 โดยระเบียบดังกล่าวให้สิทธิประโยชน์ของลูกจ้างประจำที่ได้รับเงินบำเหน็จเช่นเดียวกับข้าราชการเมื่อเกษียณอายุราชการ โดยเฉพาะลูกจ้างที่ไม่มีรายได้เป็นรายเดือนยามเกษียณอายุราชการ สามารถมีรายได้เป็นรายเดือนจนกระทั่งถึงแก่ความตาย ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะเป็นการช่วยในเรื่องของการออมเงินไว้ใช้ในวัยหลังเกษียณ หรือเมื่อพ้นวัยทำงานแล้วได้ยืดอายุการบริหารเงินจะได้ไม่เป็นภาระต่อบุตรหลานในอนาคต
จากนั้นได้มอบข้อเรียกร้องเรื่อง สวัสดิการหลังเกษียณอายุราชการลูกจ้างประจำของส่วนราชการด้วย ดังนี้ 1. ขอความอนุเคราะห์เพิ่มเติมสิทธิค่ารักษาพยาบาล 2. เพิ่มเติมบำเหน็จตกทอด 15 เท่าของเงินเดือน และ3. ปรับปรุง พรบ.บำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ.2494 รับราชการ 20 ปี ลาออกขอมีสิทธิ์เลือกรับบำนาญ โดยเสนอรัฐบาลปรับปรุงกฎระเบียบ หรือสิทธิประโยชน์ หรือกฎหมายที่ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ว่าด้วยสิทธิเสรีภาพของประชาชนชาวไทยและแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ
นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน(ก.พ.) กล่าวว่า ได้มอบหมายให้ ก.พ.ไปดูในเรื่องปัญหาสถานะของเจ้าหน้าที่ของรัฐในรูปแบบต่าง ๆ ที่ไม่ใช่เฉพาะที่เป็นข้าราชการ อาทิ ลูกจ้าง พนักงานข้าราชการ โดยเฉพาะกรณีของลูกจ้าง ที่จะมีทั้งลูกจ้างประจำที่ไม่ได้มีการปรับไปเป็นพนักงานราชการ ลูกจ้างชั่วคราว ซึ่งปัจจุบันมีการจ้างทั้งเป็นรายชั่วโมง วัน เดือน หรือจ้างเหมา เป็นต้น ทุกกลุ่มดังกล่าวยังมีปัญหาความไม่ลงตัวในเรื่องของสิทธิและสถานะหลายเรื่องอยู่นั้นตรงนี้รัฐบาลก็จะพยายามที่จะดำเนินการแก้ไขต่อไป
"กรณีของลูกจ้างในเรื่องของประกันสังคม ขณะนี้ก็มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นแล้ว ส่วนกรณีของลูกจ้างประจำ กระทรวงการคลังก็ได้เห็นชอบระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยบำเหน็จลูกจ้าง (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2552 คือการรับบำเหน็จเป็นรายเดือน อย่างไรก็ดีหลังจากที่ได้อนุมัติไปแล้วก็ได้รับทราบจากหลายฝ่ายว่ายังมีความประสงค์ที่จะให้มีการตกลงในเรื่องของสิทธิเพิ่มเติม ทั้งในเรื่องของบำเหน็จตกทอด เรื่องสิทธิที่เกี่ยวข้องกับการรักษาพยาบาล ตรงนี้ก็ได้ส่งให้กระทรวงการคลังพิจารณาแล้ว" นายอภิสิทธิ์ กล่าว และว่า ส่วนเรื่องการปรับปรุงหรือแก้ไขกฎหมายปี 2494 และสิทธิ์เลือกรับบำนาญนั้น ปีที่ผ่านมาเป็นปีที่รัฐบาลมีข้อจำกัดเรื่องงบประมาณมาก แต่รัฐบาลก็มีความตั้งใจว่าเรื่องใดซึ่งเป็นเรื่องของความจำเป็นทางด้านสวัสดิการ ความมั่นคงก็ได้มีความพยายามที่จะดำเนินการ ไม่ใช่เฉพาะเจ้าหน้าที่รัฐแต่ยังรวมถึงประชาชนด้วย ที่ได้มีการผลักดันในเรื่องของเบี้ยยังชีพ
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ได้มอบให้สำนักงบประมาณรวบรวมเรื่องของเงินสวัสดิการทั้งหมดที่รัฐบาลดำเนินการอยู่ เพื่อที่จะทำให้ในอนาคตมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นเกี่ยวกับหลักประกันของประชาชนและภาระของรัฐบาลให้สามารถไปด้วยกันได้ ขณะนี้จากที่ได้รับรายงาน เงินสวัสดิการทุกด้านนั้น อยู่ที่ประมาณร้อยละ 25 ของงบประมาณ อย่างไรก็ตามแม้ดูแล้วตัวเลขอาจจะสูงแต่ก็ไม่ได้สูงจนเกินไป เพราะในอนาคตคาดว่างบประมาณทางด้านสังคมจะเป็นสัดส่วนค่าใช้จ่ายเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่การลงทุนทางด้านเศรษฐกิจคงจะต้องไปดำเนินการอยู่ในรูปแบบให้เอกชนเข้ามาร่วมลงทุนมากกว่า เพราะฉะนั้นที่รัฐบาลจะต้องตัดสินใจในนโยบายที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิการต้องคำนึงถึงผลที่จะตามมาในอนาคตเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย
กรณีที่มีกระแสเรียกร้องการเกษียณอายุราชการที่ 60 ปี นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า การเกษียณอายุราชการที่ 60 ปีเร็วเกินไปเพราะปัจจุบันคนมีสุขภาพดีขึ้น ขณะนี้กำลังพิจารณาเรื่องดังกล่าวในบางหน่วยงานที่มีความขาดแคลน โดยอาจจะต้องมีการขยับอายุเกษียณราชการจาก 60 ปี ขึ้น แต่ไม่ให้ดำรงตำแหน่งฝ่ายบริหาร อย่างไรก็ตามต้องมีการพิจารณาให้มีความสอดคล้องว่าทิศทางขณะนี้เราต้องการให้มีการเกษียณเร็วขึ้นหรือช้าลงด้วย
“ส่วนเรื่องของสิทธิที่เกี่ยวข้องกับการรักษาพยาบาล กำลังอยู่ในช่วงที่รัฐบาลกำลังดูในเรื่องค่าใช้จ่ายเนื่องจากขณะนี้การจัดงบประมาณสำหรับสวัสดิการการรักษาพยาบาลของเจ้าหน้าที่ของรัฐงบประมาณจะตั้งไว้ที่ประมาณ 4 หมื่นล้านบาทต่อปี แต่รายจ่ายที่จ่ายจริงนั้นประมาณ 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งเกินจากงบประมาณที่ตั้งไว้ค่อนข้างมาก ตรงนี้เป็นปัญหาที่กำลังให้ดูรายละเอียดว่าเกิดได้อย่างไร”
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงเรื่องบำเหน็จตกทอดว่า เป็นเรื่องที่มีเหตุผลที่จะต้องเร่งพิจารณา โดยรับที่พิจารณาเรื่องดังกล่าวให้ ส่วนเรื่องการรักษาพยาบาลและเรื่องการจะให้สิทธิเกี่ยวกับการรับบำนาญ การลาออก และการเกษียณอายุราชการนั้น อาจจะต้องใช้เวลาเพราะขณะนี้กำลังดูระบบในภาพรวมอยู่ พร้อมแสดงความเป็นห่วงลูกจ้างชั่วคราวกรณีหลายที่หน่วยงานได้มีการเลี่ยงที่จะมีตัวเลขบุคลากรประจำ จึงใช้วิธีการจ้างชั่วคราว แต่เป็นชั่วคราวที่นานมาก และทำสิทธิของลูกจ้างดังกล่าวมีความสับสนเกิดการผลักภาระเรื่องสวัสดิการที่เกี่ยวกับประกันสังคม ซึ่งตรงนี้จะรับที่จะไปพิจารณาให้ครบทุกกลุ่ม รวมทั้งเร่งรัดในกรณีของบำเหน็จตกทอดให้ด้วย