- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- รัฐบาลตั้งหลัก 5 เรื่อง รับการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมผู้สูงอายุ
รัฐบาลตั้งหลัก 5 เรื่อง รับการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมผู้สูงอายุ
นายกรัฐมนตรี เผยรัฐบาลมีแนวทางการบริหารจัดการด้านการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรไปเป็นสังคมผู้สูงอายุใน 5 หลัก โดยเน้นการสร้างสวัสดิการที่ยั่งยืนและตระหนักถึงคุณค่าผู้สูงอายุ
วันนี้ (25 มิ.ย.) เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ณ หอประชุมสุขุมนัยประดิษฐ์ สำนักงาน ก.พ. จังหวัดนนทบุรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมสัมมนาและบรรยายพิเศษ เรื่อง "ทิศทางการจัดการสังคมผู้สูงอายุของท้องถิ่นไทยในอนาคต" โดยผู้เข้าร่วมงานประกอบด้วย คณะกรรมการการกระจายอำนาจแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น คณะอนุกรรมการด้านการถ่ายโอนบุคลากรและอำนาจหน้าที่ ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง นักวิชาการและผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้แทนสถาบันที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพในราชการ และภาคเอกชน
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการบริหารจัดการดูแลให้บริการผู้สูงอายุ ว่า ถือเป็นประเด็นที่มีความสำคัญและมีความท้าทายสำหรับอนาคต โดยสัดส่วนของผู้สูงอายุเทียบกับประชากรทั้งประเทศ ปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 11 - 12 ซึ่งอยู่ในภาวะของสังคมที่ก้าวสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุ ที่คาดว่าภายในเวลาไม่เกิน 20 ปีข้างหน้า สัดส่วนของผู้สูงอายุน่าจะเพิ่มเป็นร้อยละ 25 ซึ่งการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของประชากรประเทศก็จะคล้ายคลึงกับการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนประชากรของผู้สูงอายุในสังคมโลก จึงเป็นประเด็นที่ท้าทายการบริหารจัดการสวัสดิการสังคม เศรษฐกิจ และผลกระทบที่จะซึ่งตามมาในอีกหลาย ๆ ด้าน
"การบริหารจัดการในเรื่องของผู้สูงอายุ จำเป็นจะต้องเข้าใจธรรมชาติของความเปลี่ยนแปลง โดยไม่ควรมองว่า ผู้สูงอายุเป็นผู้ที่จะเป็นผู้รับเพียงอย่างเดียว ต้องมองในฐานะของการเป็นผู้ให้ในสังคมด้วย ฉะนั้น ความเปลี่ยนแปลงเรื่องโครงสร้างประชากรกับความเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นในทางเศรษฐกิจสังคมภาพรวม ทำให้เรามีความจำเป็นต้องปรับแนวความคิด แม้กระทั่งปรับรื้อหลายระบบเพื่อที่จะรองรับความท้าทายที่กำลังจะตามมา"
ทั้งนี้ รัฐบาลได้ตั้งหลักเรื่องการดูแลปัญหานี้ไว้ 5 หลักคือ 1. การเตรียมความพร้อมไว้ล่วงหน้าบนการมีฐานข้อมูลและการพยากรณ์ โครงสร้างของประชากรผู้สูงอายุในแต่ละปี ๆ ที่เพิ่มขึ้นจะอยู่ที่สัดส่วนเท่าไรในปีไหน 2. ต้องตระหนักถึงคุณค่าของประสบการณ์ความรู้และศักยภาพของผู้สูงอายุ 3. มีการสร้างหลักประกันเรื่องของรายได้ ความเป็นอยู่ของผู้สูงอายุ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเตรียมการเกี่ยวกับระบบสวัสดิการอย่างชัดเจน 4. ส่งเสริมสถาบันครอบครัวให้มีความเข้มแข็ง เพื่อให้การดูแลผู้สูงอายุในครอบครัวได้อย่างมีคุณภาพเป็นเบื้องต้น 5. ส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ชุมชนและพื้นที่เข้ามาดูแลให้มากที่สุด เพราะมีความใกล้ชิดกับผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรง โดยคำนึงถึงความแตกต่างความหลากหลายของแต่ละพื้นที่ด้วย
นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงเรื่องเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเดือนละ 500 บาทว่า เป็นเพียงสิทธิขั้นพื้นฐาน ต้องการให้เป็นจุดหลักของการทำระบบสวัสดิการสำหรับผู้สูงอายุ รัฐบาลจึงจะผลักดันกองทุนเงินออมแห่งชาติเพื่อเข้าไปดูแลคนที่ไม่ได้อยู่ในระบบราชการ และไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคม ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ สามารถที่จะมีระบบการออมเพื่อชราภาพได้ โดยรัฐบาลจะสมทบเงินเข้าไปในกองทุนนี้ และจะขยายการดำเนินการไปสู่ท้องถิ่นโดยกองทุนสวัสดิการชุมชนในแต่ละชุมชนเอง ให้ท้องถิ่นสามารถมาสมทบในเรื่องของกองทุนสวัสดิการหรือกองทุนเงินออมให้มากขึ้น
“ขณะนี้ได้เดินหน้าโครงการแล้ว และให้มีการกระจายไปในหลายสาขาอาชีพเพื่อให้เกิดความครอบคลุม โดยเฉพาะต้องสามารถดูแลด้านสวัสดิการให้กับผู้สูงอายุได้อย่างยั่งยืน ซึ่งเรื่องปัญหาของเบี้ยยังชีพ รัฐบาลกับท้องถิ่นได้มีการตกลงกันว่าในอนาคต ท้องถิ่นยังคงมีบทบาทในการบริหารจัดการส่วนหนึ่ง เพราะจะต้องเป็นผู้รับการขึ้นทะเบียนผู้สูงอายุ มีฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับประชากรที่เป็นผู้สูงอายุในพื้นที่ของตัวเอง ส่วนระบบการจ่ายเงินที่ปัจจุบันมีสองทางคือผ่านธนาคารกับผ่านทางท้องถิ่นนั้น อนาคตจะปรับเข้ามาสู่ระบบธนาคารมากขึ้น และเพื่อไม่ให้ท้องถิ่นมีความรู้สึกว่าเงินในส่วนนี้ท้องถิ่นก็ได้มีโอกาสหรือมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ”
นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า ต่อไปรัฐก็จะนับเงินส่วนนี้ทั้งหมดเป็นงบประมาณในสัดส่วนของส่วนกลาง ไม่ใช่ของส่วนท้องถิ่น ซึ่งก็จะถือว่าไม่ไปเบียดเอาสัดส่วนซึ่งตามกฎหมายกำหนดเอาไว้ 25 เปอร์เซ็นต์ หรือจะเพิ่มขึ้นในอนาคต ให้มารวมเงินในส่วนนี้ ซึ่งท้องถิ่นไม่สามารถที่จะมีทางเลือกในการบริหารจัดการได้ และขอย้ำว่าตรงนี้เป็นจุดสำคัญในเชิงการบริหารจัดการที่จำเป็นจะต้องเข้ามากำหนดกฎกติกาในการทำงานให้ชัดเจน