- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- ตั้งเป้าไม่เกิน 5 ปีได้เห็นค่าตอบแทนราชการให้ใกล้เคียงเอกชน
ตั้งเป้าไม่เกิน 5 ปีได้เห็นค่าตอบแทนราชการให้ใกล้เคียงเอกชน
นายกรัฐมนตรีย้ำประเทศกำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่จะมีระบบสวัสดิการที่ครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่ม เร่งผลักดันกองทุนสวัสดิการชาวนา ตั้งเป้าไม่เกิน 5 ปีได้เห็นค่าตอบแทนของภาคราชการให้ใกล้เคียงเอกชน เชื่อเป็นแรงดึงดูดคนเก่ง ๆ คนดี ๆ เข้ามารับราชการมากขึ้น
วันนี้ (22 ส.ค.) เวลา 09.00 น. ณ สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ "เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์" เป็นครั้งที่ 82 ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย
ช่วงหนึ่งนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงปัญหาของงานวิจัย และการพัฒนาทางด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี โดยยอมรับว่า ในการประเมินของสถาบันระหว่างประเทศต่าง ๆ นั้นก็ยังจัดประเทศไทยให้อยู่ในอันดับที่ไม่ดี เห็นได้ชัดว่าการเติบโตหรือการขยายตัวของการวิจัย และการพัฒนานั้นยังน้อยเกินไป ส่วนหนึ่งรัฐบาลพยายามที่จะผลักดันโดยการแก้ไขในเรื่องของสัดส่วนงบประมาณ ทุ่มเทไปยังบางโครงการ เช่น โครงการมหาวิทยาลัยวิจัย แต่การเชื่อมโยงระหว่างงานวิจัยและพัฒนากับทางด้านของภาคเอกชนหรือภาคธุรกิจหรือภาคสังคม ยังมีน้อยเกินไป
“ต่อจากนี้ไปจะเป็นการผลักดัน เริ่มต้นจากการที่จะให้ทุกหน่วยงาน ที่ทำงานทางด้านการวิจัย และมีโครงสร้างพื้นฐานทางการวิจัย ในเรื่องของอุปกรณ์ บุคลากรต่าง ๆ ต้องจัดทำฐานข้อมูลทั้งหมด แล้วก็ส่งข้อมูลนี้มารวบรวมไว้ โดยตั้งใจว่าจะมอบหมายให้กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ เป็นผู้รวบรวมฐานข้อมูลตรงนี้ แล้วเสร็จจากนั้นจะให้ฐานข้อมูลนี้สามารถที่จะเปิดไปสู่ภาคส่วนต่าง ๆ ในสังคมได้ ในหน่วยงานภาครัฐ กระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ หรือหน่วยงานกลางอย่างสำนักงบประมาณ แล้วก็จะมีในส่วนของภาคธุรกิจเอกชน ภาคประชาสังคมด้วย”
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า สิ่งที่คาดหวังคือเมื่อภาคส่วนต่าง ๆ เหล่านี้สามารถที่จะรับทราบว่า มีโครงสร้างพื้นฐานทางวิจัยตรงไหน เช่น มีเครื่องไม้เครื่องมืออุปกรณ์ใด ๆ แล้วอยากจะใช้ก็สามารถที่จะติดต่อใช้ได้ เปิดโอกาสให้ใช้นอกเวลาราชการได้ รวมถึงกฎระเบียบต่าง ๆ เพื่อจูงใจให้นักวิจัยที่จะเป็นนักวิจัยที่สังกัดอยู่ในมหาวิทยาลัยหรือหน่วยงานภาครัฐ ไปจนถึงนักเรียนที่กลับมาใช้ทุนในภาครัฐ สามารถไปทำงานร่วมกับภาคเอกชนได้อย่างคล่องตัวมากยิ่งขึ้น
สำหรับสิ่งที่รัฐบาลจะผลักดัน นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มี 2 เรื่อง เรื่องแรกคือการที่จะใช้เครื่องมือของการส่งเสริมการลงทุนหรือบีโอไอ โดยเพิ่มสิทธิประโยชน์ในเรื่องของการที่มีการลงทุนทางด้านวิจัยและพัฒนามากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในสาขาที่มีความจำเป็นในการที่จะต้องนำเอานักวิจัยมาจากต่างประเทศ เพื่อที่จะมาถ่ายทอดเทคโนโลยี เรื่องที่ 2 ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของการส่งเสริมและสนับสนุนงานวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในโครงการการปฏิรูปประเทศ ที่เน้นบทบาทของสถาบันการศึกษา 1 จังหวัด 1 มหาวิทยาลัย
ประเด็นเรื่องการปรับค่าตอบแทนของภาคราชการให้ใกล้เคียงกับภาคเอกชน นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงการปรับบัญชีเงินเดือนราชการว่า จะช่วยปรับในเรื่องของค่าตอบแทนของภาคราชการให้มีความใกล้เคียงกับภาคเอกชนมากขึ้น โดยจุดแรกที่เข้าไปดูคือปรับเรื่องของเงินเดือนสำหรับคนที่แรกเข้า หรือเข้ารับบรรจุเป็นครั้งแรก ขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 12,000 บาท ซึ่งจะพยายามจะทำให้เท่าเทียมกันให้ได้ภายใน 5 ปี
“นอกเหนือจากการที่จะเพิ่มเงินเดือนที่บรรจุในครั้งแรกแล้ว ยังกำหนดให้มีความยืดหยุ่นคือเป็นช่วง หมายความว่า จะมีเงินเดือนขั้นต่ำ แล้วก็จะสามารถที่จะมีการเพิ่มให้เงินเดือนที่แรกรับเพิ่มขึ้นได้จากเงินเดือนขั้นต่ำนี้ โดยจะมีการกำหนดปัจจัยสำหรับหน่วยงานต่าง ๆ ที่จะไปพิจารณา เช่น ถ้าสมมติว่ามาทำงานในสาขาที่ขาดแคลน ก็จะมีโอกาสได้เงินเดือนสูงขึ้น มีความสามารถพิเศษ เช่น อาจจะมีความรู้ทางด้านภาษาต่างประเทศที่เป็นที่ต้องการ ก็จะได้เพิ่มขึ้นอีกส่วนหนึ่ง หรือดูจากคะแนนในการสอบ เพราะฉะนั้นคนที่เก่งจริง ๆ เก่งมาก ๆ สามารถที่จะทำคะแนนได้ มีความโดดเด่น ก็จะมีส่วนเพิ่มเข้าไปเป็นเงินเดือนที่เข้ารับราชการตอนแรกแล้วสูงกว่าเงินเดือนขั้นพื้นฐาน ทั้งหมดนี้เพื่อพยายามที่จะส่งเสริมสนับสนุนให้เราสามารถที่จะดึงดูดให้คนเก่ง ๆ คนดี ๆ เข้ามารับราชการมากขึ้น และทำให้การรับราชการนั้นมีค่าตอบแทน มีความก้าวหน้า ที่จะเหมาะสม”
สำหรับเรื่องการจัดตั้งกองทุนสวัสดิการชาวนา นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า กองทุนสวัสดิการชาวนา หลักคิดจะเหมือนกับที่รัฐบาลได้มีการผ่านกองทุนเงินออมแห่งชาติ และกำลังจะนำเสนอเข้าสู่สภาฯ คือจะเปิดโอกาสให้ชาวนา สามารถที่จะนำเงินที่ได้จากการขายข้าว หักออกมาสมทบเข้าเป็นกองทุน และได้รับการสมทบจากรัฐบาลอีกส่วนหนึ่ง เพื่อจะนำมาจัดตั้งเป็นกองทุนสวัสดิการชาวนา เป็นการเพิ่มหลักประกัน และเป็นไปตามแนวทางที่เรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่จะมีระบบสวัสดิการที่ครอบคลุมพี่น้องประชาชนทุกกลุ่ม รวมทั้งพี่น้องเกษตรกรและพี่น้องชาวนา