- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- ตั้งเป้า 6 ปี คนไทยทุกกลุ่มมีหลักประกันตั้งแต่เกิดจนตาย
ตั้งเป้า 6 ปี คนไทยทุกกลุ่มมีหลักประกันตั้งแต่เกิดจนตาย
นายกฯอภิสิทธิ์ ลั่นไม่ยึด สวัสดิการ หรือรัฐสวัสดิการเพียงอย่างเดียว มาตอบโจทย์ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม ยันจะใช้วิธีที่ทำคู่กัน คือทำนโยบาย-กระบวนการของการพัฒนาเอื้อให้เกิดความเป็นธรรม
วันนี้ (27 ส.ค.53) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชาธิปก สถาบันพระปกเกล้า ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาฯ ถนนแจ้งวัฒนะ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการบรรยายพิเศษเรื่อง "การพัฒนาการรัฐสวัสดิการที่เหมาะสมกับสังคมไทย" และปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ "ระบบสวัสดิการกับอนาคตประเทศไทย" เพื่อให้ทุกภาคส่วนของสังคมได้นำแนวความคิดนี้ไปเป็นพลังขับเคลื่อนร่วมกันที่จะนำพาประเทศไทยให้ผ่านพ้นวิกฤติและให้คุณภาพชีวิตของคนไทยมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น จัดโดย สถาบันพระปกเกล้าและสมาคมแห่งสถาบันพระปกเกล้า โดยมี กรรมการสมาคมแห่งสถาบันพระปกเกล้า นักวิชาการ ศิษย์เก่าและนักศึกษาแห่งสถาบันพระปกเกล้าตลอดจนประชาชนที่สนใจเข้าร่วมงาน
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ช่วงระยะเวลาประมาณเกือบ 50 ปี ที่ผ่านมา อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้เติบโตอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับทุกประเทศในโลก การเติบโตทางเศรษฐกิจได้ทำให้สามารถลดสัดส่วนของคนยากจน ซึ่งเคยมีสูงถึงร้อยละ 40 กว่า ๆ และลดลงมาประมาณร้อยละ 10 ของประชากรทั้งประเทศ แต่ขณะเดียวกันปัญหาในเรื่องของความเหลื่อมล้ำและเรื่องของการกระจายรายได้กลับไม่ดีขึ้น จะเห็นจากกลุ่มคนที่มีรายสูงสุดของประเทศร้อยละ 20 มีส่วนแบ่งรายได้มากครึ่งหนึ่งของรายได้ภายในประเทศ ในขณะที่คนที่มีรายได้ต่ำสุดร้อยละ 20 กลับมีส่วนแบ่งรายได้ไม่ถึงร้อยละ 5 และตัวเลขนี้มีการเปลี่ยนแปลงน้อยมากในระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา นอกจากนี้การใช้ตัวชี้วัดที่นักเศรษฐศาสตร์ใช้คือค่าสัมประสิทธิ์ (Gini coefficient) ก็จะพบว่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 0.47-0.49 มาเป็นระยะเวลาเกือบ 20 แล้วเช่นเดียวกัน ฉะนั้นปัญหาในเรื่องของความยากจนในแง่มุมของความไม่เท่าเทียมและความเหลื่อมล้ำยังเป็นปัญหาใหญ่ที่จะต้องได้รับการแก้ไข
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่ได้มีแนวคิดว่าการตอบโจทย์ในเรื่องของความเหลื่อมล้ำจะต้องยึดเครื่องมือที่เป็นเรื่องของสวัสดิการหรือรัฐสวัสดิการเพียงอย่างเดียว และไม่ได้สนับสนุนวิธีการในการแก้ไขปัญหาด้วยเรื่องของสวัสดิการเท่านั้น เนื่องจากความจริงการที่จะลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ นอกจากเรื่องสวัสดิการแล้วก็คือการที่จะต้องทำให้นโยบายและกระบวนการของการพัฒนาเอื้อต่อการที่ทำให้เกิดความเป็นธรรม ฉะนั้นการตัดสินใจในเชิงนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเป็นหัวใจสำคัญในการลดปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม เช่น กรณีที่มีการถกเถียงกันในเรื่องผลกระทบของการพัฒนาต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน ซึ่งเป็นตัวอย่างที่สำคัญว่า การตัดสินใจในเชิงของการพัฒนาเรื่องของนโยบายทางเศรษฐกิจจะต้องคำนึงถึงมิติของผลกระทบต่อชุมชนและวิถีชีวิต รวมทั้งการกระจายรายได้ตั้งแต่ต้น
“รัฐบาลจะมีการผลักดันระบบสวัสดิการที่จะทำให้ประชาชนทุกกลุ่ม อาทิ เกษตรกร เด็กและเยาวชน ผู้สูงอายุ ผู้พิการ สตรี และกลุ่มผู้ด้อย ฯลฯ ตั้งแต่เกิดจนตายมีหลักประกันในเรื่องของการครองชีพ และมีความสามารถในการฟันฝ่าปัญหาอุปสรรคความแปรปรวน และความผันผวนหรือภัยพิบัติต่าง ๆ ได้ เช่น กรณีของเกษตรกร ที่ได้มีการทำในเรื่องโครงการประกันรายได้เกษตรกรแล้วก็จะมีการดำเนินการเรื่องของประกันความเสี่ยงจากภัยพิบัติและดินฟ้าอากาศต่อไป เป็นต้น โดยตั้งเป้าหมายไว้อีก 6 ปี ข้างหน้า การดำเนินการดังกล่าวจะเข้าสู่ระบบสวัสดิการที่ชัดเจน และจะเป็นระบบที่เป็นภาระของงบประมาณในสัดส่วนที่ไม่กระทบกับฐานะทางการเงินการคลัง รวมทั้งไม่กระทบกับเสถียรภาพของตัวระบบเองด้วยในอนาคต”
นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า การดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้อาจจะมีปัญหาอุปสรรคหรือข้อจำกัดอีกมากที่จะต้องมีการดำเนินการ แต่มีความมั่นใจว่า หลักคิดที่รัฐบาลกำลังจะเดินหน้าไปเป็นหลักคิดที่สอดคล้องกับความเป็นจริงของเศรษฐกิจและสังคมในอนาคตของประเทศไทยมากที่สุด
“ เป็นเรื่องที่ดีที่ขณะนี้ทุกฝ่ายให้ความตื่นตัวในเรื่องนี้แล้ว แม้ในรายละเอียดของมาตรการโครงการต่าง ๆ ที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่อาจจะมีข้อบกพร่อง แต่ก็มีประเด็นซึ่งสามารถที่จะปรับและแก้ไขได้ พร้อมกันนี้หวังว่าแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 ซึ่งจะต้องมีการประกาศใช้ในปีหน้าจะสามารรับเอาประเด็นต่าง ๆ เหล่านี้เข้ามาประกอบกันเพื่อนำไปสู่ระบบ สวัสดิการที่ดีสำหรับประชาชนคนไทยได้ในที่สุด”