- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- "การศึกษา" นำโด่งครองอันดับ 1 ชาวบ้านยกให้สวัสดิการที่สำคัญมากสุด
"การศึกษา" นำโด่งครองอันดับ 1 ชาวบ้านยกให้สวัสดิการที่สำคัญมากสุด
ทีดีอาร์ไอ รุกจัดเวทีประชาเสวนา หาฉันทามติสร้างจิตสำนึกใหม่และการจัดสวัสดิการสังคมเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย พบคนไทยห่วงเรื่องการศึกษามาก ยกให้ เป็นสวัสดิการที่มีความสำคัญอันดับ 1 รองลงมา “จัดหางาน-รักษาพยาบาล-สวัสดิการคนชรา“ ตามลำดับ พร้อมยอมให้ขึ้น VAT10% ซื้อสินค้าแพงขึ้นแลกคุณภาพสวัสดิการ
รศ.ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ในฐานะประธานคณะกรรมการจัดสรรทรัพยากรเพื่อความเป็นธรรม สมัชชาปฏิรูป (คสป.) กล่าวกับศูนย์ข้อมูลข่าวสารฏิรูปประเทศไทย ถึงผลการลงพื้นที่ทำเวทีประชาเสวนาเพื่อหาฉันทามติต่อการสร้างจิตสำนึกใหม่และการจัดสวัสดิการสังคมเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย ตั้งแต่ 1 ต.ค. 2552- 15 พ.ค.2553 ใน 14 จังหวัด เช่น จ.ระยอง หนองคาย กำแพงเพชร น่าน สุรินทร์ ชุมพร สระบุรี ขอนแก่น กระบี่ ปทุมธานี เลย ฯลฯ โดยนำเรื่องการจัดสวัสดิการ 6 ประเภท ไปสอบถามความเห็นชาวบ้าน พร้อมทั้งให้จัดลำดับความสำคัญสวัสดิการทั้งหมด ตั้งแต่สวัสดิการ ด้านการศึกษา แรงงาน สวัสดิการเพื่อผู้ว่างงาน สวัสดิการสำหรับผู้สูงอายุ สวัสดิการรักษาพยาบาล และสวัสดิการสำหรับผู้ด้อยโอกาส พบว่า ชาวบ้านต้องการสวัสดิการด้านการศึกษามาเป็นลำดับแรก แสดงให้เห็นว่าขณะนี้คนไทยห่วงเรื่องการศึกษามาก
ประธานทีดีอาร์ไอ กล่าวถึงการศึกษาฟรีควรจัดถึงระดับใดนั้น ในเวทีประชาเสวนากำลังอยู่ระหว่างการถกเถียงกันให้ชัดเจนในความต้องการเรื่องนี้ต่อไป เบื้องต้นพบคนส่วนใหญ่ต้องการให้รัฐจัดการศึกษาฟรีเพียงระดับมัธยมปลาย ขณะที่อีกส่วนต้องการให้จัดถึงระดับมหาวิทยาลัย
“ทั้งหมดหากมีงบประมาณเพียงพอก็สามารถจัดสวัสดิการด้านการศึกษาของไทยให้ถึงระดับมหาวิทยาลัยได้ แต่ขณะนี้ความพร้อมของประเทศไทยยังไม่ใช่ ดังนั้นการศึกษาฟรีก็คงไปถึงเพียงระดับมัธยมก่อน”
รศ.ดร.นิพนธ์ กล่าวต่อว่า สำหรับความต้องการสวัสดิการลำดับถัดมา คือ เรื่องการจัดหางาน ลำดับ 3 การรักษาพยาบาล ส่วนสวัสดิการชราภาพมาเป็นลำดับ 4 ทั้งหมดนี้เป็นเพียงผลเบื้องต้นจากการจัดลำดับรูปแบบสวัสดิการที่ได้จากเวทีประชาเสวนา ซึ่งหลังนี้หากได้ผลการจัดลำดับทั้งหมดแล้วทางคณะทำงานจะนำทุกประเด็นความต้องการมาขมวดปมอีกครั้ง พร้อมทั้งหาแนวทางในแต่ละกรณี อาทิ หากรัฐบาลไม่ทำอะไรเลยจะจัดทำสวัสดิการได้แค่ไหน หรือหากมีการปฏิรูประบบภาษีขึ้นจะมีเม็ดเงินแค่ไหน เช่น ถ้าเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) หรือขยายฐานภาษี ก็จะเห็นสิ่งเหล่านี้ชัดเจนขึ้น แล้วรัฐบาลจะสามารถกำหนดได้ว่าจะจัดสวัสดิการได้เพียงใด
“มีการไปถามชาวบ้านเรื่องการขึ้น VAT อีก 3 % เป็น 10% ซึ่งจะทำให้ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นอีก ว่ายอมหรือไม่ ชาวบ้านบอกไม่ยอม แต่หากทำให้มีสวัสดิการดีจริงและทั่วถึง เช่น เรื่องการศึกษาฟรีจริง ชาวบ้านก็บอกยอม” รศ.ดร.นิพนธ์ กล่าว และว่า การจัดสวัสดิการไม่ได้เป็นบทบาทของรัฐอย่างเดียว แต่ยังเป็นบทบาทของนายจ้าง ชุมชน ครัวเรือนด้วย ดังนั้นต้องจัดเรื่องนี้ออกมาว่า ประเทศไทยควรจัดระบบสวัสดิการพื้นฐานอย่างไร นายจ้าง ชุมชนควรมีบทบาทในเรื่องนี้อย่างไรบ้าง ทั้งหมดนี้คือการทำให้คนเข้าใจสวัสดิการขั้นพื้นฐานที่แท้จริง
ส่วนการจัดสวัสดิการให้เหมาะสมกับประเทศไทยนั้น รศ.ดร.นิพนธ์ กล่าวว่า ประเทศไทยคงไปไม่ถึงการจัดสวัสดิการแบบประเทศในแถบสแกนดิเนเวียที่มีคุณภาพสูงมากอย่างแน่นอน เพราะหากจะไปถึงเป้าหมายเช่นนั้นได้รัฐจะต้องมีรายได้จากภาษีอื่นๆ เพื่อมาใช้จัดสวัสดิการเกือบ 20% ของจีดีพี ซึ่งขณะนี้เราไปไม่ถึง ดังนั้นไทยควรจัดสวัสดิการอย่างสมฐานะพอแต่อัตภาพ เมื่อใดที่ฐานะดีขึ้นจึงค่อยขยับรูปแบบการจัดสวัสดิการขึ้น ไม่ใช่การจัดสวัสดิการที่เกินตัว หรือสร้างบ้านแล้วจะต้องมีทุกอย่างครบในทันที จึงควรค่อยๆ ขยับ ซึ่งเชื่อว่าจะทยอยแก้ความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยลงได้
ประธานคณะกรรมการจัดสรรทรัพยากรเพื่อความเป็นธรรม คสป. กล่าวถึงกระบวนการปฏิรูปว่า เป็นกระบวนการที่เริ่มต้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่การปฏิวัติรวดเดียวในทันที แต่จะค่อยๆ ปฏิรูปเพื่อเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่เราทุกคนต้องการเห็น ซึ่งขณะนี้ยังทำไม่ได้ในทันที ก็ต้องมองว่าแล้วอีกกี่ปีจะทำถึงได้ก็ต้องทำให้ชัดเจน เช่น สมมติวางแผนจัดสวัสดิการไว้ 10 ปี แต่เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ดีกว่าก็อาจบรรลุเป้าหมายได้ก่อน นี่จึงคือวิธีและกระบวนการของการปฏิรูป
“การทำงานของเรา คือ การทำให้เห็นรูปร่าง ขึ้นรูปให้เสร็จ แล้วทำให้เห็นว่าสวัสดิการควรจะไปถึงแค่ไหน หรือสิ้นสุดแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 แล้วควรจะเห็นระบบสวัสดิการที่ชัดเจน แปลว่า สวัสดิการต้องยั่งยืน ต้องเป็นไปตามความต้องการของประชาชน แม้ขณะนี้ยังไปไม่ได้ แต่ก็ต้องมาดูรายได้ นอกจากภาษีแล้วต้องสร้างความมั่งคั่งให้ประเทศด้วยกลยุทธ์ในการสร้างการเติบโตสำคัญมาก ให้ประโยชน์ตกอยู่กับคนฐานราก”
สุดท้าย รศ.ดร.นิพนธ์ ยังกล่าวถึงเป้าหมายการทำให้คนไทยจบการศึกษาระดับมัธยมปลายแล้วขยับขึ้นเป็นชนชั้นกลางว่า เชื่อว่ากลุ่มคนจำนวนมากไม่เหมาะสมและไม่จำเป็นต้องเรียนถึงระดับมหาวิทยาลัย หากดูในประเทศไต้หวัน ฮ่องกง สิงค์โปรจะพบว่าประชากรจบระดับมัธยมปลายก็สามารถเป็นคนชั้นกลางของสังคมได้ เพราะมีเงินเดือนดำรงชีพอยู่ได้แบบสบาย ซึ่งเรื่องนี้ประเทศไทยต้องกลับมาดูประเด็นเรื่องการศึกษา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสวัสดิการ เป็นตัววัดการเพิ่มพื้นที่คนชั้นกลาง คือ การลดจำนวนแรงงานที่อยู่นอกระบบ ให้ตลาดแรงงานเข้ามาอยู่ในระบบมากขึ้น