- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- “อภิสิทธิ์” เพิ่มกฏเหล็กสร้างประสิทธิภาพใช้จ่ายภาษี
“อภิสิทธิ์” เพิ่มกฏเหล็กสร้างประสิทธิภาพใช้จ่ายภาษี
นายกรัฐมนตรีเผยปรับภาษีหลายจุดสร้างเสถียรภาพด้านรายได้ กรณีภาษี BOI รอคลังชงเสนอ ครม. พร้อมเพิ่มมาตรการจัดซื้อจัดจ้าง พิกัด GIS ช่วยดูแลใช้จ่ายภาษีให้คุ้มค่า ด้าน รมว.คลังนำทัพจัดสมดุลงบประมาณ ป้องกันงบทะลุ 3 ล้านล้านบาท คาดแล้วเสร็จปี 59
วันที่ 13 ธันวาคม กรมสรรพากร จัดพิธีมอบรางวัล “รัษฎากรพิพัฒน์” โดยได้มอบรางวัลให้แก่ผู้เสียภาษีในระดับที่ดีและมีคุณภาพจากทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น 99 ราย ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล โดยมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการมอบรางวัล
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การเก็บภาษีเป็นส่วนหนึ่งที่จะเพิ่มรายได้ให้กับรัฐบาล ซึ่งขณะนี้ได้มีกระบวนการปรับปรุงด้านภาษีไปหลายส่วนโดยเฉพาะในเชิงสร้างความเป็นธรรมอย่างเช่น ภาษีทรัพย์สิน ภาษีที่ดิน ซึ่งได้ดำเนินการไปบ้างแล้ว ทั้งนี้ยังมีเรื่องการยกเว้นสิทธิประโยชน์การส่งเสริมการลงทุน (BOI) ซึ่งยังอยู่ในขั้นตอนพิจารณาของกระทรวงการคลังเพื่อนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป รวมถึงระบบอำนวยความสะดวกให้ประชาชนเข้าสู่ระบบภาษี รวมทั้งการทำให้เศรษฐกิจนอกระบบ มาอยู่ในระบบเพื่อสร้างเสถียรภาพทางรายได้ของรัฐบาลให้เพิ่มมากขึ้น
นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงการแก้ปัญหาและคำวิพากษ์วิจารณ์ในการใช้จ่ายเงิน ซึ่งอาจจะขาดความโปร่งใสหรือขาดประสิทธิภาพ ว่า รัฐบาลกำลังดำเนินการเพิ่มมาตรการต่างๆ ในการช่วยดูแลการใช้จ่ายภาษีให้คุ้มค่า และการออกมาตรการในการตรวจสอบการป้องกันการทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งในขณะนี้หลายหน่วยงานกำลังดำเนินการอยู่ อาทิ การพิจารณาราคากลาง ราคามาตรฐาน และการปรับปรุงกระบวนการการจัดซื้อจัดจ้าง รวมถึงการได้รับความร่วมมือจากองค์กรชั้นนำภาคเอกชนที่พร้อมเข้ามาช่วยสนับสนุนให้การดำเนินการของภาครัฐเป็นไปด้วยความโปร่งใส นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มเครื่องมือในการแจ้งพิกัด GIS ที่สามารถตรวจสอบความเป็นจริงในพื้นที่ของการปฏิบัติงานตามขอบเขตที่ได้กำหนดเอาไว้ในโครงการ เป็นต้น ซึ่งคาดว่าจะช่วยพัฒนาประเทศและเพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดให้แก่ประชาชนต่อไป
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการประชุมร่วมกับสำนักงบประมาณ พบว่า ปีนี้เป็นปีแรกรัฐบาลใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินเกิน 2 ล้านล้านบาท ซึ่งคาดว่าอีกไม่เกิน 10 ปีรายจ่ายจะพุ่งสูงถึง 3 ล้านล้านบาท เพราะรัฐบาลใช้จ่ายในการพัฒนาลงทุนในภาครัฐ สร้างโอกาสทางการศึกษา สุขภาพ ประกันสุขภาพ สวัสดิการผู้สูงอายุและคนพิการ รวมไปถึงการประกันภัยพืชผลทางการเกษตร ซึ่งค่าใช้จ่ายทั้งหมดมาจากภาษี
“ดังนั้น ภายในปี 2559 ต้องทำให้งบประมาณกลับมาสมดุล โดยมอบหมายให้กระทรวงการคลังร่วมมือกับสำนักงบประมาณ โดยเริ่มต้นที่แยกงบประมาณค่าใช้จ่ายเป็นภาคส่วนเสียก่อน ส่วนแรกคืองบรายจ่ายประจำที่มีอัตราการเพิ่มค่อนข้างตายตัว งบภาระผูกพันหรือหนี้สิน รวมไปถึงรายจ่ายในเชิงสวัสดิการ ที่มีตัวเลขพอจะคาดประมาณได้ว่าภาระการเรียนฟรี สุขภาพเป็นจำนวนเท่าไหร่ เพื่อนำกลับไปเทียบเคียงกับการจัดเก็บรายได้ เพื่อหามาตรการในการลดค่าใช้จ่าย พร้อมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ขณะที่นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลังมีหน้าที่ดูแลและนำเงินภาษีของประชาชน ไปใช้ให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด ซึ่งต้องเป็นไปตามโจทย์ที่วางไว้ 3 ข้อคือ 1.สร้างความมั่นคงทางการคลัง ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ พร้อมทั้งบริหารค่าใช้จ่ายของรัฐบาล 2.ร่วมลงนามกับสำนักงบประมาณ เพื่อสร้างความสมดุลของงบประมาณภายในระยะเวลา 5 ปี ทั้งนี้ต้องสร้างโอกาสที่เท่าเทียมให้กับประชาชน และ 3.การบริหารจัดการทรัพยากรประเทศ ให้คุ้มค่ามากที่สุด
“รัฐบาลมีความตั้งใจที่จะยกย่องผู้ที่ได้เสียสละทำในสิ่งที่ถูกต้อง ทำหน้าที่เป็นพลเมืองดีของประเทศด้วยความเต็มใจ ทั้งนี้ภาษีที่ทุกคนนำส่งไปให้แก่รัฐ จะกลับมาสร้างประโยชน์ให้คนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งการสร้างฐานภาษีที่ยั่งยืนที่ดีที่สุด คือการสร้างและพัฒนาผู้ประกอบการ ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน ขยายกิจการในทุกระดับ” นายกรณ์ กล่าว
นายสาธิต รังคสิริ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า การจัดเก็บภาษีอากรให้รัฐตามภารกิจ จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือและความสมัครใจในการเสียภาษี ซึ่งถือเป็นความรับผิดชอบพื้นฐานจากผู้ประกอบการ ผู้เสียภาษี และประชาชนที่มีต่อรัฐ ซึ่งจะช่วยลดภาระงานด้านตรวจสอบภาษี เพิ่มความสะดวกต่อการกำกับดูแล และก่อให้เกิดประสิทธิภาพในการบริหารจัดเก็บภาษีในภาพรวม