- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- สปส.เล็งโอนภารกิจรักษาพยาบาลผู้ประกันตนให้ สปสช.
สปส.เล็งโอนภารกิจรักษาพยาบาลผู้ประกันตนให้ สปสช.
'ปั้น วรรณพินิจ' คาดเมษาฯ ได้ข้อยุติ ผู้ประกันตนมีสิทธิใช้บริการรพ.ได้ทุกแห่ง ขณะที่หมอวิชัย ชี้สิทธิประกันสังคม ได้น้อยกว่าบัตรทองหลายเรื่อง เสนอโอนรักษาพยาบาล ไปไว้ที่ สปสช.ให้หมด
วันที่ 13 มกราคม คณะกรรมาธิการแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย สภาองค์กรลูกจ้างพัฒนาแรงงานแห่งประเทศไทย และเครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงาน จัดงานสมัชชาแรงงาน:ปฏิรูปประกันสังคมกับคุณภาพชีวิตแรงงาน “ประกันสังคมถ้วนหน้า อิสระ และโปร่งใส” ณ ห้องคอนเวนชั่น โรงแรมรามาการ์เดนส์ กรุงเทพมหานคร โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ประธานเปิดงาน
จากนั้นนางสาววิไลวรรณ แซ่เตีย ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย ตัวแทนเครือข่ายแรงงาน อ่านประกาศเจตนารมณ์การปฏิรูปประกันสังคม 5 ข้อ พร้อมยื่นเจตนารมณ์ต่อนายกรัฐมนตรี ประกอบด้วย 1.เป็นองค์อิสระ โปร่งใส ตรวจสอบได้ และปราศจากการแทรกแซงจากฝ่ายรัฐ 2.ต้องปฏิรูปโครงสร้างการบริหารจัดการกองทุนประกันสังคม โดยผู้ประกันตน มีสิทธิ์เลือกตั้งกรรมการบริหาร และดำเนินงานแบบมืออาชีพ 3.ให้การคุ้มครองครอบคลุมคนทำงานทุกภาคส่วนอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม 4.ผู้ประกันมีสิทธิ์เข้ารักษาในโรงพยาบาลคู่สัญญากับสำนักงานประกันสังคมได้ทุกแห่งทั่วประเทศ และ5.ขยายสิทธิประโยชน์ประกันสังคมและให้ผู้ประกันตนได้เข้าถึงสิทธิประโยชน์อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม
ทั้งนี้นายปั้น วรรณพินิจ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กล่าวถึงความคืบหน้าการปฏิรูปประกันสังคมว่า ในอนาคตโรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมีอยู่ประมาณ 887 แห่ง กำลังจะมีข้อตกลงกับประกันสังคม ให้ผู้ประกันตนสามารถเข้ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาลสาธารณสุขแห่งใดก็ได้
“กำลังคุยกับโรงพยาบาลศิริราช รามาฯ จุฬาฯ ราชวิถี ซึ่งมีโรงเรียนแพทย์ในสังกัด ทำในวง เช่น หากมีโรคร้ายแรงสามารถไปรักษาที่โรงพยาบาลใดก็ได้ เป็นการรวมกลุ่มระดับโรงเรียนแพทย์ คาดว่า ข้อตกลงนี้จะแล้วเสร็จหลังเดือนเมษายนนี้”นายปั้น กล่าว และว่า ส่วนโรงพยาบาลของกระทรวงกลาโหม 16 แห่ง และโรงพยาบาลของกรุงเทพมหานครกว่า 10 แห่ง การรักษาข้ามโรงพยาบาลจะมีข้อยุติช่วงเวลาเดียวด้วย
ขณะที่โรงพยาบาลเอกชน ในเครือข่ายประกันสังคม กว่า 90 แห่ง นายปั้น กล่าวว่า กำลังคุยกันอยู่ว่า จะให้มีการรักษาข้ามโรงพยาบาลกันได้ และต่อไปผู้ประกันตนสามารถรักษาพยาบาลโรงพยาบาลเอกชน หรือโรงพยาบาลรัฐก็ได้
เลขาธิการ สปส. กล่าวด้วยว่า ในอนาคตทางสปส.อยากให้ สปสช. ให้บริการการรักษาพยาบาล โดยประกันสังคมมีหน้าที่จ่ายเงิน ส่วนโครงสร้างการบริหารจัดการกองทุนประกันสังคม และความเป็นองค์กรอิสระนั้น ก็มีแนวคิดให้ผู้ประกันตนทุกคนเข้ามามีส่วนร่วม กำกับดูแลการบริหารงานของสปส.ซึ่งการเลือกกรรมการตัวแทนจากผู้ประกันตน เข้ามา ก็ควรเป็นในรูปของสมัชชามากำกับดูแลการทำงานของสปส. เปลี่ยนทุก 3 หรือ 6 เดือน แทนเลือกตั้งเข้ามา 2 ปี
ด้านนพ.วิชัย โชควิวัฒน กรรมการปฏิรูป และกรรมการสมัชชาปฏิรูป กล่าวถึงสิทธิประโยชน์ในการรักษาพยาบาลว่า เมื่อยามเจ็บป่วย ในส่วนของข้าราชการ รัฐออกให้หมด แต่ประกันสังคมต้องเก็บเงินจากประชากรจำนวนกว่า 10 ล้านคน สิ่งนี้คือความไม่เป็นธรรม อีกทั้งเงินที่เก็บมาก็ถูกใช้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งปัจจุบันสิทธิที่ผู้ใช้แรงงานในระบบประกันสังคมได้รับนั้น ยังมีส่วนที่ควรได้รับมากกว่านี้
"ยกตัวอย่างมาตรา 41 ในพระราชบัญญัติประกันสังคมฯ เมื่อไปรักษาแล้วเกิดความเสียหรือเสียชีวิต พิการ จะต้องมีการจ่ายค่าชดเชย เรื่องนี้ระบบประกันสังคมไม่มี"
นพ.วิชัย กล่าวอีกว่า สิทธิในระบบประกันสังคมในปัจจุบันนั้น ได้น้อยกว่าของสิทธิบัตรทองหลายเรื่อง ดังนั้นควรโอนเรื่องการรักษาพยาบาล ไปไว้ที่ สปสช.ทั้งหมด โดยเฉพาะไม่ควรให้บุตร และคู่สมรสของผู้ประกันตนเข้าไปอยู่ในระบบประกันสังคม
"ประกันสังคมในปัจจุบัน ใช้เงินรักษาพยาบาลกรณีเจ็บป่วย ที่ไม่เนื่องมาจากการทำงานหัวละกว่า 2,000 บาท ถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่แพงเกินไป ซึ่งเงินส่วนนี้เข้าไปสู่โรงพยาบาล ขณะที่สิทธิประโยชน์ผู้ประกันตนกลับได้รับเท่าเดิม ทั้งๆ ที่เงินเพิ่มขึ้น"
กรรมการปฏิรูป กล่าวด้วยว่า จากตัวเลขค่าแรงผู้ใช้แรงงานทั่วไปเฉลี่ย 8,000 บาทต่อเดือน รัฐบาลขณะนี้สมทบ 1.5 % หรือประมาณ 1,440 บาท หากนำเงินจำนวนนี้โอนไปให้สปสช. ดูแลการรักษาพยาบาลทั้งหมด โดยสิทธิต้องไม่น้อยกว่าเดิม ให้ต้องดูแลผู้ประกันตนมากกว่าเดิม ส่วนเงินของผู้ประกันตนและนายจ้างสบทบ 2 ส่วนนี้ ก็นำไปใช้จ่ายในสิทธิอื่น เช่น เรื่องการเสียชีวิต ทุพพลภาพ ทั้งนี้ เชื่อว่าจะมีเงินเหลือจำนวนมาก สามารถนำไปเป็นเงินออมให้ผู้ประกันตน และจะทำให้ความไม่เป็นธรรมในเรื่องการเก็บเงินสมทบลดน้อยลง