- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- กมธ.วุฒิสภา จ้องสอบรัฐบาลปรับลดโครงการมาบตาพุด
กมธ.วุฒิสภา จ้องสอบรัฐบาลปรับลดโครงการมาบตาพุด
คณะกรรมาธิการวุฒิสภา รับเรื่องร้องเรียนจากตัวแทนเครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก เรื่องการปรับลดโครงการมาบตาพุดเหลือ 11 โครงการ จาก 18 โครงการ พร้อมระบุนายกรัฐมนตรีจะต้องตอบคำถามภาคประชาชนให้ได้
วันนี้ (7 ก.ย.) นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย ประธานคณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา และนางสาวรสนา โตสิตระกูล ประธานคณะกรรมาธิการศึกษา ตรวจสอบเรื่องการทุจริต และเสริมสร้างธรรมภิบาล วุฒิสภา รับเรื่องร้องเรียนจากเครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก เกี่ยวกับกรณีต้องการให้รัฐบาลทบทวนโครงการหรือกิจการที่อาจมีผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง ทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง
นายสุรชัย กล่าวว่า ตนในฐานะประธานคณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา จะนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของกรรมาธิการ โดยเบื้องต้นเห็นว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีจะต้องตอบคำถามประชาชนให้ได้ว่า เหตุใดจึงมีการปรับลดโครงการหรือกิจการที่อาจมีผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงเหลือเพียง 11 โครงการ จากจำนวน 18 โครงการตามที่คณะกรรมการ 4 ฝ่ายเป็นผู้เสนอ
ด้านนางสาวรสนา กล่าวด้วยว่า ตนในฐานะประธานคณะกรรมาธิการศึกษา ตรวจสอบเรื่องการทุจริต และเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา ก็จะนำเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาตรวจสอบเช่นเดียวกัน โดยจะเน้นการตรวจสอบว่าการปรับลดจำนวนโครงการหรือกิจการของรัฐบาลนั้นได้ดำเนินการตามหลักวิชาการหรือเกณฑ์มาตรฐานหรือไม่ หรือเป็นเพียงเพื่อต้องการปลดล็อคให้กับกลุ่มนายทุนโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดกับประชาชน
นอกจากนี้เครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก ยังยืนเรื่องดังกล่าวต่อประธานคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา ประธานคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจ การพาณิชย์และอุตสาหกรรม วุฒิสภา และประธานคณะกรรมาธิการสาธารณสุข วุฒิสภา เพื่อให้ตรวจสอบเรื่องดังกล่าวด้วย
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงกรณีที่เครือข่ายประชาชนภาคตะวันออกเตรียมเคลื่อนไหวใหญ่ เพื่อคัดค้านกรณีศาลปกครองยกคำร้องว่าโครงการ/กิจการในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง กว่า 70 โครงการไม่เข้าข่ายมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชุมชน ภายหลังรัฐบาลออกประกาศกิจการที่อาจมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชุมชน จำนวน 11 ประเภท ว่า หากรัฐบาลประกาศตามคณะกรรมการ 4 ฝ่ายจะมีโครงการหลุดไป 1 โครงการด้วยซ้ำ ซึ่งเป็นคำยืนยันที่ชัดเจนว่า เวลาดูไม่ได้ไปแก้ในลักษณะที่เอื้อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด แต่ดูตามเงื่อนไขที่เหมาะสมที่ปฏิบัติได้
“กรณีมีเสียงวิจารณ์เรื่องการออกประกาศเอื้อประโยชน์ให้บริษัทใหญ่ ไม่จริง ดูตามข้อเท็จจริง ถ้าเราประกาศกิจการตามมติตรงนั้น ไม่ได้มีผลทำให้โครงการไหนเข้าสู่กระบวนการตามมาตรา 67 วรรค 2 ของรัฐธรรมนูญมากขึ้น มีแต่ลดลงจาก 70 กว่าโครงการที่ว่า อย่างที่ปล่อยไป เช่น โครงการชลประทาน ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับมาบตาพุด”