- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- “เดชรัต” จี้รัฐเร่งคลายปม ปรับลดกิจการรุนแรง18 เหลือ 11 ประเภท
“เดชรัต” จี้รัฐเร่งคลายปม ปรับลดกิจการรุนแรง18 เหลือ 11 ประเภท
อดีตกก. 4 ฝ่ายฯ เชื่อหากมีคำชี้แจงชัดเจนกว่านี้ อาจไม่เป็นปัญหา โดยเฉพาะ โรงไฟฟ้า เหมืองแร่ใต้ดิน ท่าเทียบเรือ การถมทะเล การผันน้ำข้ามลุ่มน้ำหลัก และชลประทาน แนะมอง ม. 67 วรรค 2 ให้รอบด้าน จะเห็นเป็นการเปิดประตูให้ภาคอุตฯ จับเข่าคุยทำความเข้าใจกับชุมชนอย่างเป็นขั้นตอน
วันนี้ (10 ก.ย.) เวลา 10.00 น. ดร.เดชรัต สุขกำเนิด อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในฐานะ อดีตคณะกรรมการ 4 ฝ่ายเพื่อแก้ปัญหานิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ที่มีนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธาน กล่าวในงานเสวนาในหัวข้อ “จากมาบตาพุดถึงคอนโดในกรุงเทพ : การมีส่วนร่วมของประชาชนกับการรายงานผลกระทบของสิ่งแวดล้อม (EIA)" จัดโดย สถาบันสัญญา ธรรมศักดิ์ เพื่อประชาธิปไตย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ณ ห้องประชุมบุญชู โรจนเสถียร ตึกอเนกประสงค์ 1 ชั้น 3 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ถึงกรณีที่รัฐบาลประกาศ 11 กิจการรุนแรงที่ส่งผลกระทบต่อชุมชน ในเขตนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ว่า ก่อนที่คณะกรรมการ 4 ฝ่ายฯ จะมีมติประกาศ 18 ประเภทกิจการรุนแรงฯ และส่งมอบให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ มีการถกเถียงอยู่ประมาณ 2 เดือน ซึ่งถือเป็นข้อยุติเป็นที่ยอมรับกันได้ของทุกฝ่าย
ดร.เดชรัต กล่าวว่า ไม่ใช่ว่า 18 ประเภทกิจการรุนแรงฯ จะเปลี่ยนไม่ได้ เปลี่ยนได้ แต่รัฐบาลต้องมีคำอธิบายที่ชัดเจนหลังปรับลดเหลือ 11 ประเภท ซึ่งเรื่องนี้อดีตนายกฯอานันท์ พยายามบอกกับนายกรัฐมนตรีว่า เมื่อเป็นข้อยุติหากจะมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขประการใด ก็ควรต้องมีคำชี้แจงให้ชัดเจนที่เป็นลายลักษณ์อักษรด้วย ทั้งนี้ตนมองว่า หากมีคำชี้แจงชัดเจนกว่านี้อาจไม่เป็นปัญหา เช่น โครงการเกี่ยวกับสูบน้ำเกลือใต้ดิน ที่รัฐบาลชี้แจงว่า ตัดออก เนื่องจากไม่อนุญาตอีกแล้วนั้น แปลว่า หากใครสูบน้ำเกลือดิน ถือว่าเป็นการทำผิดกฎหมาย นอกเหนือจากนั้น ไม่มีคำชี้แจง เช่น เรื่องโรงไฟฟ้า เหมืองแร่ใต้ดิน
“โรงไฟฟ้า กรรมการ 4ฝ่ายฯ จะพูดไว้อย่างชัดเจนว่า โรงไฟฟ้า หากเป็นถ่านหินขนาดเกิน 100 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทุกขนาด ชีวมวล 150 เมกกะวัตต์ แก๊สธรรมชาติ 1,000 เมกกะวัตต์ ต้องมาทำตามมาตรา 67 วรรค 2 แต่ปรากฏว่า มีการแก้เป็นโรงไฟฟ้าแก๊สธรรมชาติ 3,000 เมกกะวัตต์ คำถามคือ มีความหมายอะไร ขณะนี้โรงไฟฟ้าแก๊สธรรมชาติในเมืองไทยที่ใหญ่ที่สุด กำลังยื่นขอดำเนินการ 1,600 เมกกะวัตต์ แสดงว่า โรงไฟฟ้าแก๊สธรรมชาติ ไม่ต้องทำ”
กรณีเหมืองแร่ใต้ดิน ทำตามมาตรา 67 วรรค 2 นั้น ดร.เดชรัต กล่าวว่า กรรมการ 4 ฝ่ายฯ บอกไว้ว่า เหมืองแร่ใต้ดินทุกประเภท แต่พอถึงคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เป็นเหมืองแร่ใต้ดินทุกประเภท ยกเว้นเหมืองแร่ที่มีลักษณะสร้างเสาค้ำยัน และมีการเติมวัสดุลงไป ความหมายคือ เหมืองแร่โปรแตสทุกประเภทในประเทศไทย ทำดังที่ยกเว้น ซึ่งหมายถึงการไม่ได้บังคับใช้ ดังนั้น ต้องมาคิด สมควรยกเว้นหรือไม่ หรือกรณีท่าเทียบเรือ มีการยกเว้น ท่าเรือ 3 ประเภท ท่าเทียบโดยสาร ท่าเทียบเรืออุปโภคบริโภค ท่าเทียบเรือเพื่อการท่องเที่ยว ความหมายอย่างสิ่งที่จะเกิดขึ้นที่ภูเก็ต เกาะยาว ที่จ.พังงา เรียกว่ามารีน่า ได้รับการยกเว้นทั้งหมด
ส่วนการถมทะเล ในพื้นที่มากกว่า 300 ไร่ ต้องทำตาม มาตรา 67 วรรค 2 แต่หากว่าเกิดขึ้นในพื้นที่ คือ ที่อนุรักษ์ ท่องเที่ยว แหล่งประกอบอาชีพของประชาชน ไม่ว่าขนาดใดต้องทำตามมาตรานี้ เพราะอาจกระทบกระเทือนกับประชาชน ดร.เดชรัต กล่าวว่า แต่รัฐบาลไปเอาส่วนนี้ออก แปลว่า โครงการท่าเรือปากพนังที่ จ.สตูล สามารถเดินหน้าได้เลย ตัวเลขถมทะเล 295 ไร่ ขาดไปอีก 4 ไร่ แต่มีผลกระทบต่อประชาชนก็สามารถทำได้เช่นนั้นใช่หรือไม่
ดร.เดชรัต กล่าวอีกว่า การผันน้ำข้ามลุ่มน้ำหลัก ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม จริงๆ เป็นเรื่องใหญ่ รัฐบาลตัดออกให้เหตุเพราะเดิมทีไม่เคยทำอีไอเอมาก่อน ขอให้ทำอีไอเอก่อน แล้วให้ทำตามมาตรา 67 วรรค 2 ซึ่งไม่เกี่ยวกัน มาตรา 67 วรรค 2 การทำตามรัฐธรรมนูญ กับการทำอีไอเอ เป็นเรื่องการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม คนละเหตุผล จึงต้องดูว่าการผันน้ำกระทบต่อชุมชนรุนแรงจริงหรือไม่
“เรื่องชลประทาน รัฐให้เหตุผลที่อาจเป็นความเข้าใจผิดว่า ไม่มีผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง เพราะเป็นโครงการที่มีประโยชน์ต่อประเทศ จริงๆ แล้ว 18 โครงการก็มีผลประโยชน์ต่อประเทศทั้งหมด ซึ่งบางคนสงสัย ชลประทานมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือไม่ ตอบว่า มี โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ การเปลี่ยนสภาพให้ดินมีน้ำเป็นเวลานานๆ ปรากฏว่า ไปละลายเกลือที่อยู่ใต้ดินขึ้นมา ทำให้เกิดภาวะดินเค็ม เรามีอ่างเก็บน้ำ น้ำเค็มด้วย มีการปิดข่าว อยู่ที่ลำน้ำเสียว จ.มหาสารคาม กลายเป็นปัญหาหนึ่งที่เกิดขึ้น”
ดร.เดชรัต กล่าด้วยว่า หลายคนอาจจะมอง มาตรา 67 วรรค 2 ด้วยสายตาด้านเดียว ทำให้การลงมือยากขึ้น ซึ่งมาตรานี้ไม่ใช่เป็นกระบวนการปิดประตู ทำให้การลงทุนยากขึ้น หรือส่งผลให้ประเทศเกิดภาวะสั่นคลอนทางด้านเศรษฐกิจ จริงๆ มาตรา 67 วรรค 2 คือ การเปิดประตูให้ภาคอุตสาหกรรมไปทำความเข้าใจกับชุมชนอย่างเป็นขั้นตอน ผ่านขั้นตอนการทำอีไอเอ เพื่อเปิดข้อมูลให้ประชาชนรับทราบ กำหนดประเด็นพิจารณา และศึกษา ให้ประชาชนรับทราบ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาระหว่างภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะให้สามารถอยู่กับชุมชนได้บนพื้นฐานการไว้วางใจกัน ความเชื่อใจของประชาชนสำคัญกว่าคำสั่งศาล ไม่ว่าศาลจะมีคำสั่งอย่างไรก็ตาม