- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- รับมือการเมืองเรื่องโลกร้อน “บัณฑูร” แนะรัฐเอาจริงเก็บภาษีคาร์บอน
รับมือการเมืองเรื่องโลกร้อน “บัณฑูร” แนะรัฐเอาจริงเก็บภาษีคาร์บอน
ผอ.สถาบันธรรมรัฐเพื่อการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม ยันประเทศจำเป็นต้องมีกติกาการคิด Greenhouse Gas ที่ปล่อยออกมาจากอุตฯ จากต่างประเทศ หนุนปฏิรูปภาษีเพื่อสิ่งแวดล้อม เอาจริงเอาจังเริ่มคิด เก็บภาษีคาร์บอน
เมื่อเร็วๆนี้ ที่สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ กรุงเทพมหานคร นายบัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ ผู้อำนวยการสถาบันธรรมรัฐเพื่อการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม (GSEI) นำเสนอเรื่อง “การเมืองเรื่องโลกร้อน ในกระแสการปฏิรูปประเทศไทย” ในเวทีประชุมปฏิรูปประเทศไทยเพื่อสุขภาวะของคนไทย ครั้งที่ 40 จัดโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มีนักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิทำงานในนามสถาบันเครือข่ายทางปัญญา ร่วมรับฟัง
นายบัณฑูร กล่าวถึงการเมืองเรื่องโลกร้อนในประเทศไทย โดยยกตัวอย่าง กรณีชาวบ้านทำสวนยางพารา ถูกกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช จับและฟ้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่ง ซึ่งเป็นคดีที่เกิดขึ้นเมื่อ 2 ปีที่แล้ว โดยชาวบ้านเข้าไปตัดต้นยางหมดอายุ เพื่อปลูกใหม่ ถูกกรมอุทยานฯ ดำเนินคดีเนื่องจากเป็นพื้นที่ในเขตอุทยานเขาปู่ เขาย่า เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเทือกเขาบรรทัด ซึ่งพบว่า ข้อพิพาทที่เกิดขึ้นนี้ มีการเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่งด้วย
“อัยการจังหวัดพัทลุง จึงได้สอบถามไปทางกรมอุทยานฯ ว่า มีวิธีการพิจารณาค่าเสียหาย และการคิดคำนวณค่าเสียหาย ชาวบ้านบุกรุกป่า ทำให้เกิดผลกระทบต่อโลกร้อนอย่างไร เช่น นางกำจาย ชัยทอง ถูกเรียกร้องค่าเสียหายกว่า 1.3 ล้านบาท ต่อมากรมอุทยานฯ ได้ส่งหนังสือตอบกลับถึงการคิดคำนวณค่าเสียหาย มีทั้งคิดค่าธาตุอาหารหายไป ดินไม่ดูดซับน้ำฝน ทำให้น้ำสูญเสียไปโดยการแผ่ของรังสี ทำให้อากาศร้อนขึ้น ฝนตกน้อยลง เป็นต้น จนศาลตัดสิน นางกำจายถูกยึดบัญชี และถูกฟ้องล้มละลายตามมาในที่สุด” นายบัณฑูร กล่าว และว่า หลายองค์กรพยายามเข้ามาแก้ไขปัญหา แต่กรมอุทยานฯ ยืนยันว่าจะคิดคำนวณผลกระทบต่อโลกร้อนแบบนี้ต่อไป
ผู้อำนวยการสถาบันธรรมรัฐเพื่อการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า เรื่องความเหลื่อมล้ำ และความไม่เป็นธรรม เป็นโจทย์ใหญ่การปฏิรูปประเทศไทย โดยเฉพาะกระบวนการยุติธรรมกับคนจน กรณีที่ยกมาจะเห็นได้จากเรื่องกรณีโลกร้อน ศาลตื่นตัวและตัดสินไปตามที่ฟ้อง ซึ่งถ้ากรมอุทยานฯ จะปฏิบัติแบบนี้ต่อไปกับชาวบ้านผู้บุกรุกป่า ก็จะเกิดคำถามว่า ทำไมนายทุนที่บุกรุกป่า กลับไม่เคยถูกฟ้องร้องคดีแบบนี้เลย แม้กระทั่งกับกรมทางหลวงตัดต้นไม้ที่เขาใหญ่ ควรถูกฟ้องด้วยหรือไม่ หรือควรเรียกร้องคนกรุงเทพฯ ให้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ร่วมรับผิดชอบกรณีโลกร้อนอย่างไร
สำหรับโลกร้อนกับภาคป่าไม้ นายบัณฑูร กล่าวว่า จะเห็นว่าคำหลายคำ มีทั้งโครงการกลไกการพัฒนาที่สะอาด (Clean Development Mechanism:CDM) คือเป็นเรื่องการปลูก มี 2 แบบ การฟื้นฟูป่าในพื้นที่ที่เคยเป็นป่ามาก่อน กับการปลูกป่าในพื้นที่ที่ไม่เคยเป็นป่ามาเลย ,การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการทำลายป่าและความเสื่อมโทรมของป่าในประเทศกำลังพัฒนา (Reducing Emissions from Deforestation and Forest Degradation in Developing Countries: REDD),ตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจ (Voluntary Carbon Market: VCM) และธนาคารต้นไม้ หลายกิจกรรมวันนี้เกิดขึ้นแล้วในเมืองไทย แต่ประชาชนในพื้นที่ก็ยังสับสน โดยเฉพาะ VCM เกิดขึ้นแล้ว เครือข่ายอินแปง จังหวัดสกลนคร นำป่าที่กรมป่าไม้เคยส่งเสริมการปลูกป่า ขณะนี้ได้ถูกติดต่อและเจรจาขายคาร์บอนเครดิต ให้ตลาดสหรัฐฯ
นายบัณฑูร กล่าวถึงสวนยางพาราพื้นที่ภาคใต้ สวนผลไม้แถวจันทบุรี ตราด ก็เข้าโครงการนี้เช่นกัน หมายความว่า ป่าไม้ ที่เราเคยคิดว่าจะเป็นเครดิตของประเทศไทย ปรากฏว่า เจ้าของสิทธิ์อยู่ที่ตลาดชิคาโก มีการซื้อไปเป็น CSR ของบริษัทใหญ่ๆ ในต่างประเทศ ประเด็นทางนโยบาย แม้ว่าพื้นที่ป่าไม่ได้หายไปไหน แต่ในอนาคตหากประเทศไทยต้องมีพันธะกรณีในการลดก๊าซเรือนกระจก เพื่อควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้เพิ่มเกิน 2 องศา เราจะนับรวมผืนป่าในเมืองไทยไม่ได้ เนื่องจากถูกขายคาร์บอนเครดิต ไปแล้ว
“ถ้าประเทศไทยไม่มีพันธะกรณี ลดก๊าซเรือนกระจก เรื่องการซื้อ-ขาย คาร์บอนเครดิต ไม่ใช่เรื่องน่าห่วง แต่เมื่อใดที่เกิดพันธะกรณี ตอนหลังมาพบว่า เราถูกเจาะหลังบ้านไปแล้ว ความยุ่งยากจะเกิดขึ้น” นายบัณฑูร กล่าว และว่า CDM ประเทศไทยคงเป็นไปได้ยาก เพราะมีข้อจำกัด ขณะที่มีตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจ VCM เกิดขึ้นมาก อีกทั้งไม่รู้อยู่ที่ไหนบ้าง เนื่องจากไม่ได้มีการมาขึ้นทะเบียน ขณะเดียวกันเราก็มีธนาคารต้นไม้ มี 340 สาขา วัตถุประสงค์เดียวกันคือการรักษาต้นไม้ไว้ โจทย์ใหญ่ คือ เราจะจัดสรรอย่างไร ว่า พื้นที่ส่วนใด เป็นธนาคารต้นไม้ พื้นที่ตรงไหนเป็น REDD หรือเป็นพื้นที่ VCM ตรงไหนไม่ให้ทำ
“การไปห้ามเครือข่ายอินแปงไม่ให้ขายคาร์บอนเครดิต ห้ามไม่ให้ติดต่อกับชิคาโก ห้ามคนที่จันทบุรีไม่ให้ขายคาร์บอนเครดิตให้อเมริกา ห้ามไม่ได้แล้วเพราะเป็นพื้นที่ส่วนบุคคล จึงมีเสนอ ธนาคารต้นไม้ ควรเข้ามาเป็นคู่แข่ง แทนที่ให้เครือข่ายอินแปงขายเครดิตให้ต่างประเทศ ก็ให้ธนาคารต้นไม้ดึงเครดิตนี้ให้อยู่กับประเทศไทย พูดง่ายๆ รัฐบาลซื้อเครดิตเก็บไว้เสียเอง”
นายบัณฑูร กล่าวด้วยว่า ธนาคารต้นไม้ต้องคิดโจทย์เชื่อมโยงในระดับโลก เพื่อไม่ให้มีการแย่งพื้นที่ป่าทำคาร์บอนเครดิต ซึ่งมีเรื่องการจัดแบ่งพื้นที่ การออกแบบ กลไกธนาคารต้นไม้ เพื่อให้ตอบโจทย์ความซับซ้อนของเรื่องคาร์บอนกับเรื่องภาคป่าไม้ ลดปัญหาโลกร้อน อีกทั้ง เราจำเป็นต้องมีกติกาการคิด Greenhouse Gas ที่ปล่อยออกมาจากการลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งก็ฝากเป็นการบ้านให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ว่า จะจัดการกับนโยบายเหล่านี้อย่างไร เพื่อลดความขัดแย้งเรื่องโลกร้อน ประเทศไทยจะมีนโยบายอย่างไรกับอุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงและส่งผลต่อต้นทุนและภาคอื่นๆ ที่ต้องแบกรับภาระไปด้วย
“การปฏิรูปภาษีเพื่อสิ่งแวดล้อม ภาษีคาร์บอนอาจเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ต้องเริ่มคิด ศึกษาได้แล้ว การปรับทิศทางการพัฒนาประเทศเพื่ออาศัยประเด็นเรื่องโลกร้อนมาเป็นโอกาส หากสามารถปรับตัวได้เร็ว มีการปล่อยคาร์บอนต่ำ ประเทศไทยอาจไม่ต้องเจอภาษีเวลาส่งสินค้าออกไปอเมริกา หรือยุโรป ”