- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- ส.ว.สมุทรสงคราม จวกหน่วยงานบริหารน้ำไร้เอกภาพ
ส.ว.สมุทรสงคราม จวกหน่วยงานบริหารน้ำไร้เอกภาพ
“สุรจิต ชิรเวทย์” หนุนยกปัญหาน้ำท่วมเป็นวาระแห่งชาติ หวั่นกลายเป็นเพียงโวหาร พร้อมให้หลักคิดยุทธศาสตร์การจัดการน้ำ ทำอย่างไรให้หน่วยงานที่ทำหน้าที่นี้มีเอกภาพ ไม่กระจัดกระจายเช่นปัจจุบัน
นายสุรจิต ชิรเวทย์ สมาชิกวุฒิสภา สมุทรสงคราม และประธานคณะอนุกรรมาธิการทรัพยากรน้ำ ในคณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา กล่าวกับศูนย์ข้อมูลข่าวสารปฏิรูปประเทศไทยถึงกรณีที่มีคำวิพากษ์วิจารณ์การแก้ปัญหาน้ำท่วมของรัฐบาลว่า เป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และหน่วยงานต่างๆ ที่ทำหน้าที่บริหารจัดการน้ำ ไม่เคยกำหนดนโยบาย หรือบูรณาการร่วมกันเพื่อแก้ปัญหา รวมทั้งยังมีการเสนอให้รัฐบาลกำหนดปัญหาน้ำท่วมขึ้นเป็นวาระแห่งชาติว่า ตนเห็นด้วยที่จะยกปัญหาน้ำท่วมขึ้นเป็นวาระแห่งชาติ เพราะสำคัญระดับนั้นจริงๆ แต่ก็ต้องคำนึงถึงกลไกที่จะมารองรับการทำงานภายหลังจากนั้นด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญกว่า
“หลักคิดของยุทธศาสตร์การจัดการน้ำแห่งชาติคือ จะทำอย่างไรให้หน่วยงานที่ทำหน้าที่บริหารจัดการด้านน้ำมีเอกภาพในการทำงาน เพราะหากกำหนดปัญหาน้ำท่วมขึ้นเป็นวาระแห่งชาติจริง แต่หน่วยงานที่เกี่ยวกับน้ำยังกระจาย และขาดเอกภาพในการทำงานอยู่ ก็คงยากที่จะเกิดผลใดๆ ผมมองวาระแห่งชาติเป็นแค่ยุทธวิธี ที่เราต้องหาคำตอบให้ได้ก่อนว่า ‘ยุทธศาสตร์ชาติ’ ของเราคืออะไร เราจะเป็นประเทศเกษตรกรรม อาหาร บริการ ท่องเที่ยว หรือครัวโลก เพื่อที่จะได้จัดลำดับความสำคัญในการบริหารจัดการทรัพยากรให้มันถูกต้อง โดยเฉพาะการใช้น้ำ ที่ควรมีลำดับเริ่มจาก น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค ต่อมาคือ น้ำเพื่อรักษาระบบนิเวศ น้ำเพื่อการเกษตร และน้ำเพื่ออุตสาหกรรมบริการเป็นอันดับสุดท้าย แต่ความเป็นจริงไม่เคยเป็นเช่นนั้น”
นายสุรจิต กล่าวต่อว่า กลไกที่จะรวมหน่วยงานต่างๆ ด้านน้ำเข้าด้วยกันอย่างมีเอกภาพ เพื่อที่จะมารองรับวาระแห่งชาติที่จะเกิดขึ้นเป็นสิ่งสำคัญ เราต้องคำนึงถึงแง่ปฏิบัติด้วย ไม่เช่นนั้น ‘วาระแห่งชาติ’ ก็จะกลายเป็นเพียง ‘โวหาร’ เหมือนที่ผ่านๆ มา ซึ่งอาจต้องใช้ระยะเวลายาวนานกว่าที่จะปรับเปลี่ยนวิธีคิด และวัฒนธรรมองค์กร ของหน่วยงานด้านน้ำ ผ่านพรมแดนอันศักดิ์สิทธิ์ของแต่ละกระทรวง ทบวง กรม ให้มีกระบวนการที่อ่อนตัวไปในทิศทางเดียวกัน
“การตั้งกระทรวง ทบวง กรม ที่จริงแล้วแยกกันโดยปริยัติเท่านั้นเอง แต่บทบาทยังเป็นองค์รวม ยิ่งเมื่อเป็นรัฐบาลผสมก็ทำให้การบริหารจัดการต่างๆ ใช้ระยะเวลานานขึ้น เพราะต่างก็ใส่ใจแต่กระทรวงที่รับผิดชอบ ดังนั้นจึงควรจะมี ‘ยุทธศาสตร์ชาติ’ ที่ว่า ชาติไทยของเราจะมุ่งพัฒนา หรือแก้ไขด้านไหน ซึ่งไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลชุดใดเข้ามาบริหารก็จะต้องตอบโจทย์แบบเดียวกัน อาจต่างกันในวิธีการบริหารได้ แต่ต้องไม่เปลี่ยนยุทธศาสตร์ชาติ”
นายสุรจิต กล่าวถึงการบริหารจัดการน้ำว่า ที่ผ่านมาผู้บริหารจัดการน้ำในประเทศเรามีแนวทางในการบริหารที่ว่า หากลำน้ำไหนยังไม่มีเขื่อน หรือไม่มีสิ่งปลูกสร้างใหญ่โต ก็ถือว่ายังไม่มีการจัดการ ยังไม่สามารถควบคุมได้ ถือว่า เป็นการมองใน ‘ทรรศนะเชิงอำนาจ’ เหมือนกับที่ใช้อำนาจต่อประชาชน แต่เราไปใช้อำนาจกับธรรมชาติไม่ได้ เพราะประเทศไทยเป็นประเทศในเขตมรสุม ดังนั้นการบริหารน้ำจะต้องไปในทิศทางที่สอดคล้อง ไม่ใช่ไปแข็งขืน ยกตัวอย่าง ‘เขื่อนวังร่มเกล้า’ ที่สร้างขึ้นเพื่อบรรเทาปัญหาน้ำท่วม และภัยแล้ง แต่ตนมองว่า จริงๆ แล้วเป็นการเพิ่มปัญหามากกว่า
“ปีที่แล้วมีการเสริมคันป้องขึ้นมา พอน้ำมากก็เอาไม่อยู่ ทั้งขอนไม้และสิ่งกีดขวางอื่นๆ ก็ลอยออกไปพังทะลุประตูน้ำเก่า เข้าไปกองในไร่นาของชาวบ้าน ซึ่งเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมชาวบ้านถึงกลัวเขื่อน กลัวประตูน้ำกันหมด ที่สุดแล้วเป็นการหน่วงให้ผิดจังหวะ แล้วก็ปล่อยแบบผิดจังหวะ เราเป็นประเทศเขตมรสุมหากจะเกิดน้ำท่วมก็เป็นเรื่องปกติ แต่เพราะโครงข่ายการคมนาคม-สิ่งปลูกสร้าง เข้าควบคุมคลองสาขาทั้งหมด ขณะที่ไม่มีเจ้าหน้าที่ดูแลอย่างเพียงพอจึงเกิดปัญหา ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีเครือข่ายภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม เวลาที่จะก่อสร้าง หรือรื้อถอนอะไรก็ตาม ต้องให้ประชาชนรู้สึกว่าเป็นธุระของเขา เขาถึงจะมีส่วนร่วมในการดูแล”
สำหรับข้อเสนอแนะต่อหน่วยงานบริหารจัดการน้ำ นายสุรจิต กล่าวว่า การแก้ไขวิกฤตการณ์นี้ต้องทำพร้อมกันทุกมิติ และมีแนวความคิดไปในทิศทางเดียวกันในการแก้ปัญหาระยะยาว ทั้งน้ำท่วม และน้ำแล้ง ต้องไม่แยกกัน ดังแนวความคิดขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ทรงรับสั่งว่า ‘การแก้ปัญหาน้ำท่วม ต้องมองรวมกันให้เสร็จ’ ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วมหรือน้ำแล้งก็ต้องแก้ปัญหาร่วมกัน พระองค์มีรับสั่งให้ขุดคลองออกไปทางซีกตะวันออกของกรุงเทพฯ ไปทางสมุทรปราการ บางปะกง เพื่อสร้างเครือข่ายน้ำแนวนอน เช่น คลองบางกอกน้อย แต่ทางกรุงเทพฯ กลับไปสร้างป้อมปราการล้อมตลิ่งชัน ล้อมบางขุนเทียน และมีแผนในอนาคตว่าจะล้อมทั้งกรุงเทพฯ สุดท้ายพอน้ำเข้าไม่ได้ก็ไปหาที่อื่นที่ต่ำกว่าแทน
"ตรงนี้นับว่าเป็นความคิดที่ผิด แค่เราหาที่อาศัยชั่วคราวในช่วงน้ำหลาก หรือน้ำทะเลหนุนสูงในช่วงเช้าก่อน สำหรับภาวะหลังจากนี้ก็ต้องเตรียมรับมือกันหลังจากต้อนน้ำลงมา ตั้งแต่นี้ไปจนถึงกลางๆ เดือนมกราคม ภาวะนี้ก็จะหายไป”