- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- สผ. ยกระดับมาตรฐาน EIA เทียบมาตรฐานสากล
สผ. ยกระดับมาตรฐาน EIA เทียบมาตรฐานสากล
ยันสามารถนำไปใช้ได้จริง เป็นที่ยอมรับในวงกว้าง ผู้แทนสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ย้ำชัดคู่มือฉบับใหม่มุ่งเน้นลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม มากกว่าเอาตัวรอดจากปัญหา
วันที่ 15 ธันวาคม สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ร่วมกับสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย แถลงข่าว โครงการปรับปรุงการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการพัฒนาปิโตรเลียม ณ ห้องวิภาวดี บอลรูม ซี โรงแรมโซฟิเทลเซ็นทาราแกรนด์ กรุงเทพฯ พร้อมทั้งมีพิธีลงนามและประกาศใช้คู่มือการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environment Impact Assessment: EIA) สำหรับโครงการเจาะสำรวจและผลิตปิโตรเลียมทั้งบนบกและในทะเล
นางนิศากร โฆษิตรัตน์ เลขาธิการ สผ. กล่าวว่า สผ. ได้ร่วมมือกับสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง บริษัทผู้รับสัมปทาน และบริษัทที่ปรึกษาผู้จัดทำรายงาน จัดทำคู่มือ EIA เพื่อยกระดับมาตรฐานการจัดทำรายงานให้มีความครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งมิติด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพอนามัยให้เทียบเท่ากับมาตรฐานสากล และสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง ทั้งนี้เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่าย ทั้งฝ่ายอนุมัติโครงการ ผู้ประกอบการ บริษัทที่ปรึกษาผู้จัดทำรายงาน และประชาชนในพื้นที่
“การพัฒนาจะต้องควบคู่ไปกับการพิทักษ์สิ่งแวดล้อม โดยมีกลไกหรือกระบวนการที่เป็นระบบ คู่มือ EIA สำหรับโครงการเจาะสำรวจและผลิตปิโตรเลียมทั้งบนบกและในทะเล ได้มีการกำหนดเนื้อหาและแนวทางตามหลักวิชาการ ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการตระหนักและคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง โดยมิได้มุ่งหวังเพียงแต่ต้องการให้รายงานผ่านความเห็นชอบและใช้ประกอบการขออนุญาตดำเนินโครงการเท่านั้น”
เลขาธิการ สผ. กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกันบริษัทที่ปรึกษาผู้จัดทำรายงาน จะได้มีแนวทางการทำรายงานที่ครอบคลุมและเป็นไปตามกรอบที่กำหนดไว้ เพื่อช่วยให้ขั้นตอนการพิจารณาต่างๆ มีระยะเวลาสั้นลง และเป็นที่ยอมรับในวงกว้าง นอกจากนี้ประชาชนยังสามารถเชื่อมั่นได้ว่าการจัดทำรายงานเป็นไปตามหลักวิชาการและมีมาตรฐานที่สูงขึ้น
ด้านนายวิชัย ธารณเจษฏา ผู้แทนจากสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายเร่งรัดการจัดหาพลังงาน เพื่อให้สอดคล้องกับปริมาณการใช้พลังงานของประเทศ ซึ่งโครงการพัฒนาปิโตรเลียมที่จะสามารถดำเนินการได้นั้นจะต้องจัดทำรายงาน EIA เสียก่อน แต่ที่ผ่านมาพบว่า บริษัทที่ปรึกษาผู้จัดทำรายงานที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญมีจำนวนจำกัด ทำให้หลายโครงการที่จัดทำรายงานขาดความครบถ้วนสมบูรณ์ ต้องมีการปรับปรุงแก้ไขหลายครั้ง โครงการจึงได้รับการอนุมัติอย่างล่าช้า และบางครั้งก็กระทบต่อเงื่อนไขของสัมปทาน
“คู่มือ EIA ฉบับนี้เกิดจากความร่วมมือของทุกภาคส่วน การพัฒนาคู่มือจึงมุ่งเน้นการลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม มากกว่าการเอาตัวรอดจากปัญหา”
ส่วนนายไพโรจน์ กวียานันท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด ในฐานะตัวแทนผู้ประกอบการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม กล่าวว่า การปรับปรุงการจัดทำ EIA ทำให้ผู้ประกอบการเข้าใจหลักการและเหตุผลทางวิชาการ รวมถึงข้อกังวลของภาคส่วนต่างๆ มากขึ้น อีกทั้งผู้ประกอบการจะสามารถตรวจสอบข้อมูลซึ่งบริษัทที่ปรึกษาผู้จัดทำรายงานนำเสนอได้ยิ่งขึ้น เนื่องจากมีหลักการและรายละเอียดที่ระบุไว้อย่างชัดเจน
“การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันของผู้มีส่วนร่วม จะนำไปสู่การจัดทำรายงานที่ได้มาตรฐาน เป็นที่ยอมรับ และสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง อีกทั้งมั่นใจได้ว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และเป็นไปตามการประกอบการที่ดี”