- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- ‘นิพนธ์’ เสนอ 3 เกณฑ์มาตรฐานสร้างสมดุลสิ่งแวดล้อม
‘นิพนธ์’ เสนอ 3 เกณฑ์มาตรฐานสร้างสมดุลสิ่งแวดล้อม
ประธานทีดีอาร์ไอ ยันเก็บภาษีมลพิษแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ย้ำชัดแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมสำหรับไทย วันนี้แค่เริ่มต้น มองภาคอุตสาหกรรมก่อปัญหาแค่ส่วนหนึ่ง ยังมีผู้ก่อมลพิษในภาคครัวเรือน - ภาคการเกษตรอีก
วันที่ 8 มกราคม ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย จัดบรรยายหลักสูตรอบรมการสื่อสารมวลชนระดับต้น (กสต.) รุ่นที่ 2 เรื่อง ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมของการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก : กรณีศึกษามาบตาพุด โดย รศ.ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)
รศ.ดร.นิพนธ์ กล่าวถึงแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์เรื่องผลกระทบทางเศรษฐกิจของมลพิษ ว่า สังคมมีต้นทุนความเสียหายมากกว่าต้นทุนค่าใช้จ่ายของภาคเอกชนผู้ผลิต เนื่องจากมลพิษที่เกิดกับสังคมไม่ได้อยู่ในบัญชีรายจ่ายของผู้ผลิต ดังนั้นวิธีการแก้ปัญหาทางหนึ่งคือต้องหาผู้รับผิดชอบให้ได้ ซึ่งการเก็บภาษีเป็นทางออกทางหนึ่ง แต่ก็มีภาระความยุ่งยาก คือ 1.ข้อเสนอเกี่ยวกับภาษีมีโอกาสผ่านมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี หรือรัฐสภาได้ยาก เพราะมีข้อเกี่ยวพันกับการลงทุนของภาคเอกชน 2.การคำนวณอัตราภาษีที่ถูกต้อง เป็นเรื่องยาก และการเก็บภาษีก็เป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุเท่านั้น
ประธานทีดีอาร์ไอ กล่าวอีกว่า ประเทศไทยมีเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ในการจัดการปัญหาไม่เพียงพอ แม้จะมีการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม (EIA) และการประเมินผลกระทบต่อสุขภาพ (HIA) แต่ก็ไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งการบังคับใช้แต่กฎหมายมาตรฐานมลพิษ โดยไม่คำนึงถึงมาตรฐานสิ่งแวดล้อมนั้นไม่สามารถนำไปสู่ทางออกที่ยั่งยืน โดยเฉพาะเครื่องมือที่ใช้กันอยู่ในประเทศไทย ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อการลดมลพิษ แต่เป็นการตั้งเป้าหมายเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับรัฐบาล
สำหรับการสร้างมาตรฐานสิ่งแวดล้อมจะนำมาสู่การแก้ไขปัญหามลพิษที่ชัดเจนยิ่งขึ้นนั้น รศ.ดร.นิพนธ์ กล่าวว่า มีด้วยกัน 3 ข้อ คือ 1.มาตรฐานคุณภาพสิ่งแวดล้อม (Ambient Standard) เป็นมาตรฐานมลพิษในสิ่งแวดล้อมโดยทั่วไป ซึ่งได้มีประกาศใช้แล้วบางส่วน อาทิ มาตรฐานคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดินที่ไม่ใช่ทะเล มาตรฐานคุณภาพน้ำทะเลชายฝั่ง ฯลฯ 2.มาตรฐานการปล่อยมลพิษที่ต้นกำเนิด (Discharge Standard) หรือมาตรฐานปากปล่อง คือการวัดระดับการปล่อยมลพิษที่ปากปล่องโรงงาน และ 3.กำลังการรองรับมลพิษ (carrying capacity) คือ สิ่งที่จะชี้ให้เห็นว่า สิ่งแวดล้อมบริเวณดังกล่าวสามารถการรองรับมลพิษที่เกิดขึ้นโดยรอบได้มากน้อยเพียงใด พร้อมกันนั้นต้องสร้างแรงจูงใจในการเปลี่ยนแปลงให้กับโรงงาน เช่น หากตั้งโรงงานริมแม่น้ำ อาจจะต้องเสียภาษีมลพิษสูงกว่าการย้ายไปตั้งในนิคมอุตสาหกรรม เป็นต้น
สุดท้าย ประธานทีดีอาร์ไอ กล่าวถึงการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมสำหรับประเทศไทยถือว่าเป็นเพียงแค่การเริ่มต้น สังคมต้องไม่คิดว่าการแก้ไขปัญหาตามมาตรา 67 (วรรคสอง) ตามรัฐธรรมนูญ หรือกรณีศึกษาอย่างมาบตาพุตจะทำให้สิ่งแวดล้อมกลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง เพราะภาคอุตสาหกรรมเป็นเพียงส่วนหนึ่งของปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้น แท้จริงแล้วปัญหาใหญ่ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข คือผู้สร้างมลพิษในภาคครัวเรือน และภาคการเกษตร