- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- ชาวไอริชติดเหล้าพุ่ง พบ 89% ดื่มจัดอยู่ในขั้นอันตราย
ชาวไอริชติดเหล้าพุ่ง พบ 89% ดื่มจัดอยู่ในขั้นอันตราย
ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการปัญหาแอลกอฮอล์ในไอร์แลนด์ ระบุ เหตุหาซื้อง่าย แถมนโยบายรัฐบาลในการควบคุมการจำหน่าย เปลี่ยนทุกครั้งเมื่อรัฐบาลเปลี่ยน ขณะที่เหล้าปั่นกำลังแพร่ระบาดในกลุ่มวัยรุ่น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดบรรยายและแลกเปลี่ยนความรู้ ในประเด็น "การจัดการกับปัญหาแอลกอฮอล์ในประเทศไอร์แลนด์" โดยดร.แอน โฮป ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการปัญหาแอลกอฮอล์ในประเทศไอร์แลนด์ กล่าวถึง สถานการณ์แอลกอฮอล์ในไอร์แลนด์ว่า ปัจจุบันมีนักดื่มทั้งชายและหญิงมากกว่าสหราชอาณาจักร สวีเดน ฟินแลนด์ เยอรมนี อิตาลี และฝรั่งเศส โดยช่วง 20 ปีที่ผ่านมาไอร์แลนด์มีจำนวนผู้ดื่มแอลกอฮอล์สูงขึ้นมากและมีรูปแบบการดื่ม ที่หลากหลาย 89% ของผู้ดื่มจัดอยู่ในระดับการดื่มที่เป็นอันตราย จนก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมาด้วย
ดร.แอน โฮป กล่าวถึงผลกระทบจากการดื่มแอลกอฮอล์ว่า ทำให้เกิดความรุนแรงในครอบครัว ทั้งเรื่องการทำร้ายร่างกาย การเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน และผลกระทบต่อสุขภาพ โดยการดื่มแอลกอฮอล์เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการทำร้ายขั้นรุนแรงถึง 34 % ขณะที่เยาวชนนักศึกษาที่เป็นนักดื่ม ก็จะมีปัญหาการเรียน มีผลต่อสุขภาพ เกิดอุบัติเหตุ ทะเลาะวิวาท มีเพศสัมพันธ์ขณะที่ยังไม่พร้อมและไม่ได้ป้องกัน
“ไอร์แลนด์เศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว จำนวนประชากรเพิ่มมากขึ้น ขณะที่แอลกอฮอล์กลายเป็นสินค้าที่หาซื้อได้ง่าย เนื่องจากไม่มีการเพิ่มภาษี ทำให้การบริโภคและรูปแบบการดื่มหลากหลายมากขึ้น รวมทั้งยังพบปัญหาแอลกอฮอล์ป็อบส์หรือเหล้าปั่น กำลังขยายไปสู่เยาวชนอย่างแพร่หลาย”
ดร.แอน โฮป กล่าวว่า ไอร์แลนด์เริ่มมีมาตรการดูแลปัญหาแอลกอฮอล์ในปี 2001 ด้วยการควบคุมกลไกราคา และให้คำแนะนำอันตรายจากการดื่มด้วยการปฏิบัติงานในส่วนของชุมชน ต่อมาปี 2003 ใช้นโยบายเพิ่มภาษีสุราเป็น 40% และสร้างกฎในตลาดแอลกอฮอล์ควบคุมไม่ให้เข้าถึงเยาวชน ทำให้ปัญหาลดลงชัดเจน ในช่วงปี 2002-2003 แต่ในปี 2005 รัฐออกกฎหมายการควบคุมการวางจำหน่ายที่เอื้อต่อมาตรการการตลาดที่ให้อุตสาหกรรมสุราสามารถควบคุมกันเองไว้ จนปี 2006 ได้ใช้มาตรการการสุ่มตรวจลมหายใจ ซึ่งได้ผลชัดมากสามารถลดการตายจากอุบัติเหตุบนท้องถนนลงได้
“กระทั่งแต่ปี 2009 ได้มีการลดภาษีแอลกอฮอล์ จากนโยบายของรัฐบาล ปัจจุบันแอลกอฮอล์มีราคาถูกสามารถซื้อหาได้ง่าย การบังคับใช้กฎหมายก็ไม่จริงจัง” ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการปัญหาแอลกอฮอล์ในไอร์แลนด์ กล่าว และเสนอแนะการจัดการปัญหานี้ ว่า จำเป็นต้องมียุทธศาสตร์ที่สอดคล้องกัน รัฐต้องให้ความสนใจร่วมกันในทุกภาคส่วน รวมถึงความมุ่งมั่นจากฝ่ายการเมืองต้องมีการอ้างอิงวิชาการ มีแผนปฏิบัติที่ชัดเจน อีกทั้งต้องส่งเสริมโครงการทั่วไปในชุมชน ไม่ว่าจะเป็นการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดยาเสพติดและแอลกอฮอล์ มีพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเยาวชน กำหนดกฎหมายจำกัดความหนาแน่นของร้านค้าแอลกอฮอล์ จำกัดการดื่มในที่สาธารณะ ลดการโฆษณาที่เด็กเข้าถึงได้ และไม่รับการสนับสนุนจากอุตสาหกรรมแอลกอฮอล์ในงานเทศกาลและงานในท้องถิ่น ที่สำคัญต้องสร้างความตระหนักรู้ในชุมชนถึงปัญหาทั้งต่อตัวผู้ดื่มเองและต่อผู้อื่น ให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมสนับสนุนมาตรการที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งมองว่า ภาครัฐจะดำเนินการไม่ได้มากหากไม่มีการเรียกร้องจากภาคประชาชน
สำหรับอุปสรรคและความท้ายทายเรื่องการแก้ไขปัญหาแอลกอฮอล์ในสหภาพยุโรปนั้น ดร.แอน โฮป กล่าวว่า ปัจจุบันแอลกอฮอล์ถูกมองว่าเป็นสินค้าธรรมดาชนิดหนึ่ง ประกอบกับมีคณะกรรมการหลายชุด จนทำให้การมองปัญหามีความแตกต่างกันออกไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นเรื่องเศรษฐกิจ ยังคงได้รับการสนับสนุน และให้ความสำคัญมากกว่าเรื่องของสุขภาพ ซึ่งสิ่งท้าทายที่รออยู่เบื้องหน้า คือ ความสำคัญระหว่างผลประโยชน์อุตสาหกรรมแอลกอฮอล์กับผลกระทบด้านสาธารณสุข