- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- หมอแนะใช้เพศศึกษาแก้ปัญหาเซ็กส์วัยรุ่น
หมอแนะใช้เพศศึกษาแก้ปัญหาเซ็กส์วัยรุ่น
และควรสร้างการเข้าถึงเรื่องเพศศึกษาในทุกระดับ ทั้งพ่อแม่ โรงเรียน และชุมชน “หมอสุริยเดว” ระบุ วันนี้เด็กพูดคุยเรื่องเพศสัมพันธ์ที่ปรากฏบนสื่อกับพ่อแม่ได้ต่ำมาก การรู้เท่าทันสื่อแทบไม่มี
นพ.สุริยเดว ทรีปาตี หัวหน้าคลินิกเพื่อนวัยทีน สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี และผู้จัดการแผนงานสุขภาวะเด็กและเยาวชน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวในงานแถลงข่าว “วัยรุ่นถามอะไรเรื่องเซ็กส์” วันนี้ (8 ก.พ.) โดยเปิดผลสำรวจต้นทุนชีวิตของเด็กและเยาวชนไทย เปรียบเทียบระหว่างเด็กที่มีและไม่มีพฤติกรรมเพศสัมพันธ์ตั้งแต่เดือนพ.ย.2551-ม.ค.2552 จากกลุ่มเด็กที่เข้ารับบริการสุขภาพทางเพศโครงการเลิฟแคร์ และวัยรุ่นในสถานศึกษาเขตกรุงเทพฯ ทั้งที่มีและไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ รวมจำนวนทั้งสิ้น 2,564 คน
นพ.สุริยเดว กล่าวถึงผลการศึกษาพบว่า เด็กทั้งสามกลุ่มมีต้นทุนชีวิตอ่อนแอมากอย่างชัดเจน ประเด็นการทำกิจกรรมที่ดีในชุมชนต่อสัปดาห์นั้น เด็กทั้งสามกลุ่มร่วมทำต่ำมากมีเพียง 30-50% คือ เด็กในโครงการเลิฟแคร์เข้าร่วมต่ำสุดเพียง 32% ขณะที่เด็กในสถานศึกษาที่มีเพศสัมพันธ์แล้ว 46% และเด็กในสถานศึกษาที่ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ 53% ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์ 80% ทั้งสิ้น ส่วนการร่วมทำกิจกรรมทางศาสนาก็ต่ำกว่าเกณฑ์เช่นกัน พบเด็กในโครงการฯ มีการเข้าร่วมเพียง 40% เด็กในสถานศึกษาที่มีและไม่มีเพศสัมพันธ์แล้ว 23% และ36% ตามลำดับ รวมถึงการได้รับมอบให้เป็นผู้นำชุมชนและเรื่องจิตอาสาในชุมชนก็ต่ำกว่าเกณฑ์เช่นเดียวกัน หมายความว่า เด็กพร้อมที่จะมีพฤติกรรมตามกระแสชักชวนจากกลุ่มเพื่อนทั้งที่ดีและไม่ดีเพื่อให้ได้การยอมรับ จึงจำเป็นต้องมีการเยียวยาให้แก่เด็กทั้งสามกลุ่ม
“กลุ่มเด็กในสถานศึกษาที่มีเพศสัมพันธ์แล้ว มีทักษะการปฏิเสธต่ำที่สุด และมีจุดยืนต่อการมีเพศสัมพันธ์ที่ต่ำกว่าทักษะการปฏิเสธด้วย ขณะเดียวกันพบว่าเด็กที่เข้าโครงการเลิฟแคร์ มีต้นทุนชีวิตในการมีความเข้มแข็งกล้าเผชิญความจริง กล้าพูดและยอมรับความเป็นจริงถึง 80% ซึ่งมากกว่าเด็กในสถานศึกษาทั้งสองกลุ่ม ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเด็กยุคใหม่มีทักษะที่จะปฏิเสธแต่ขณะเดียวกันก็ยอมรับการมีเพศสัมพันธ์มากขึ้น และจากการศึกษาในทุกกรณีจากกลุ่มตัวอย่างทั้งสามกลุ่มพบเด็กผู้หญิงมีต้นทุนชีวิตที่ดี มีทักษะการปฏิเสธและจุดยืนต่อการมีเพศสัมพันธ์ดีกว่าเด็กผู้ชาย ทั้งหมดนี้เป็นผลของการประเมินตัวเองของเด็กเอง”
หัวหน้าคลินิกเพื่อนวัยทีน กล่าวว่า ต้นทุนชีวิตที่ดี ต้องประกอบด้วย 5 พลัง คือ พลังในตัวตนของเด็กและเยาวชน ในการยอมรับและสร้างคุณค่าในตัวเอง พลังครอบครัวที่จะต้องช่วยกันส่งเสริมสนับสนุนเด็กในการทำกิจกรรมที่ดี พลังชุมชนที่ต้องร่วมกันเฝ้าระวังและส่งเสริม พลังเพื่อนและกิจกรรมในการสร้างทางเลือกที่สร้างสรรค์ให้แก่เด็กและเยาวชน และพลังการสร้างปัญญา ขณะเดียวกันการสร้างเสริมต้นทุนชีวิตอย่างยั่งยืน ก็ต้องเปิดพื้นที่ด้านบวกและสร้างพลังด้านที่ขาดหายให้เด็ก ทั้งกิจกรรม เพื่อน ชุมชน ต้องทำให้เกิดกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ต้นทุนชีวิตระหว่างกันทั้งกลุ่มเด็กด้วยกันเอง กับผู้ใหญ่
“วันนี้เด็กสามารถพูดคุยในเนื้อหาของเพศสัมพันธ์ที่ปรากฏบนสื่อกับพ่อแม่ได้ต่ำมาก การรู้เท่าทันสื่อแทบไม่มีเลย จึงควรสร้างการเข้าถึงเรื่องเพศศึกษาในทุกระดับ ทั้งพ่อแม่ โรงเรียน และชุมชน ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งสำคัญและหลีกเลี่ยงไม่ได้”นพ.สุริยเดว กล่าว และว่า รวมทั้งต้องทำให้เกิดกระบวนการพี่เลี้ยงและที่ปรึกษาที่เป็นมิตรและเข้าถึงได้ง่ายสำหรับเด็กและเยาวชน เพื่อให้เด็กกล้าปรึกษา กล้าเผชิญความจริง และกล้าที่จะรับผิดชอบ
ขณะที่นพ.วัชระ พุ่มประดิษฐ์ ที่ปรึกษาองค์การแพธแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การสร้างพื้นที่สร้างสรรค์ สร้างทางเลือกให้วัยรุ่น ต้องทำให้เพศศึกษาเป็นเรื่องที่ต่อเนื่องและชาญฉลาด เพราะที่ผ่านมาเราไม่เคยสอนที่เน้นการเรียนรู้ชีวิต ต้องสร้างระบบบริการสุขภาพทางเพศที่เหมาะสมเป็นมิตรและเข้าถึงได้ง่ายในชุมชนให้เด็กและเยาวชน เพราะตอนนี้เด็กไม่กล้าที่จะใช้บริการที่มีอยู่ของโรงพยาบาลต่างๆ อยากให้เด็กและเยาวชนคิดว่าเมื่อกล้ารักต้องกล้าเช็ค กล้าเผชิญความจริงและต้องกล้ารับผิดชอบ ซึ่งชุมชนต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ด้วย เพราะในปี 2553 นี้เรามาไกลมากกว่าที่จะบอกให้เด็กมีหรือไม่มีเพศสัมพันธ์ เพราะวันนี้เด็กส่วนใหญ่เลือกจะมีอยู่แล้ว ดังนั้นต้องสร้างทางเลือกให้เด็กอย่างปลอดภัย
ด้านนางเพ็ญพรรณ จิตตะเสนีย์ ผู้อำนวยการสำนักงานสนับสนุนการสร้างการเรียนรู้และสุขภาวะองค์กร สสส. กล่าวถึงเรื่องเซ็กส์ในวัยรุ่นเป็นเพียงหนึ่งในปัญหาของเยาวชน การห้ามหรือควบคุมนั้นไม่ใช่ทางออกของปัญหา หากต้องเป็นการขจัดร้ายขยายดี ทางออกหนึ่งที่สสส.ทำโครงการพยายามแก้ปัญหาเหล่านี้ คือ การเปิดพื้นที่เรียนรู้ให้แก่เด็กและเยาวชนที่จะช่วยนำพลังของเด็กที่มีอยู่ไปใช้ในทางสร้างสรรค์ ทำให้เด็กไทยมีทางเลือกอื่นนอกจากสิ่งยั่วยุในปัจจุบัน เช่น โครงการพัฒนาศูนย์เรียนรู้เพื่อเด็กในชุมชนและพิพิธภัณฑ์ที่หลากหลายซึ่งเริ่มจาก 100 แห่งในกรุงเทพฯและปริมณฑล เกิดการส่งเสริมแหล่งเรียนรู้ร่วมกันระหว่างคนในครอบครัว สร้างสัมพันธภาพที่แข็งแรงยั่งยืน เป็นต้น
“ครอบครัวเป็นส่วนสำคัญที่สุดที่จะปกป้องเด็กและเยาวชน เนื่องจากการบังคับไม่ใช่คำตอบของปัญหาที่จะช่วยเด็กให้ไม่มีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร หรือไม่ได้ลดการทำแท้ง การตั้งครรภ์ แต่การให้เด็กเรียนรู้ในสิ่งที่ถูกต้องโดยมีผู้ใหญ่อยู่เคียงข้างต่างหาก จะทำให้เด็กเลือกในสิ่งที่ถูกต้อง”