- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- ผอ.รพ.อุ้มผาง หวั่นสธ.แบกรับภาระงบฯ หลังแอ่น
ผอ.รพ.อุ้มผาง หวั่นสธ.แบกรับภาระงบฯ หลังแอ่น
หลังครม.มีมติจัดสิทธิการรักษาพยาบาลให้คนไร้สัญชาติตามแนวชายแดน เสนอเร่งพิสูจน์สัญชาติบุคคลให้เข้าสู่ระบบประกันสุขภาพตามปกติ สปสช.ชี้จัดสิทธิรักษาพยาบาลครั้งนี้ครอบคลุมแค่ 1 ใน 3 บุคลลไร้สถานะเท่านั้น
วันนี้ (24 มี.ค.) สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.)ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) สภาความมั่นคงแห่งชาติ สภาทนายความ และเครือข่ายโรงพยาบาลชายแดน จัดงานเสวนาเรื่อง “หนทางสู่การให้สิทธิขั้นพื้นฐานกับบุคคลที่มีปัญหาสถานะสิทธิ” เพื่อร่วมกันกำหนดทิศทางการดูแลบุคคลไร้สัญชาติในราชอาณาจักรไทย ณ โรงแรมริชมอนด์ จังหวัดนนทบุรี
นพ. พงศธร พอกเพิ่มดี ผู้เชี่ยวชาญพิเศษสำนักนโยบายและแผน สปสช. กล่าวถึงการผลักดันเรื่องการให้สิทธิของคนไร้สถานะและสิทธิว่า เป็นเรื่องที่ผลักดันกันมายาวนาน ผ่านมาแล้วถึง 5 ปี มติคณะรัฐมนตรีครั้งนี้ถือเป็นความสำเร็จในการให้สิทธิประกันสุขภาพแก่คนไร้สถานะที่มีอยู่ในประเทศ แม้ว่าจะเป็นเพียง 1 ใน 3 ของกลุ่มคนไร้สถานะ แต่ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการให้บริการด้านสาธารณสุขที่เท่าเทียมของคนในชาติ
ด้านนายสุรพงษ์ กองจันทึก กรรมการสิทธิมนุษยชน สภาทนายความ กล่าวว่า มติ ครม.เห็นชอบให้มีการจัดสรรงบประมาณด้านการรักษาพยาบาลให้กับกลุ่มคนไร้สัญชาติตามแนวชายแดนจำนวน 475,409 คน ถือเป็นการได้รับสิทธิขั้นพื้นฐาน ตามหลักสิทธิมนุษยชน เป็นสิ่งที่คนทุกคนควรจะได้รับจากรัฐ เนื่องจากในมาตรา 51 ของรัฐธรรมนูญ ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับบริการทางด้านสาธารณสุขที่เหมาะสมโดยเสมอภาคกัน
“แม้ว่าในครั้งนี้จะยังไม่ครบทุกกลุ่ม แต่นับว่าเป็นความคืบหน้าและก้าวสำคัญของการเปลี่ยนแปลงไปสู่การดูแลสุขภาพของกลุ่มคนที่อยู่ตามแนวชายแดน และการมุ่งไปสู่ความพยายามดูแลให้ครอบคลุมบุคคลไร้สัญชาติที่อยู่ในประเทศไทยทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียม” นายสุรพงษ์ กล่าว และว่า แม้ว่าการตั้งกองทุนจะเป็นเพียงการช่วยให้แบ่งเบาภาระของโรงพยาบาลชายแดนได้ในระดับหนึ่ง ไม่สามารถช่วยทั้งระบบ สิ่งที่ต้องทำจริงๆ คือ การช่วยกันกำจัดโรคออกจากแผ่นดินไทย ซึ่งหากเรามีการจัดการดูแลคนทุกกลุ่มให้ดี ไม่ละเลย และถือว่าทุกคนเป็นคนไทย เท่าเทียมกันทุกคน ทางออกของการรักษาโรคต่างๆ การแพร่กระจายโรคก็จะหมดไป
ขณะที่นพ.วรวิทย์ ตันติวัฒนทรัพย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลอุ้มผาง จังหวัดตาก ผู้ประสานเครือข่ายโรงพยาบาลชายแดน กล่าวว่า งบประมาณจากรัฐบาลในครั้งนี้ยังติดปัญหาอยู่มาก เพราะตาม พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพ ที่ระบุไว้ว่าต้องดูแลบุคคลที่มีสัญชาติไทยเท่านั้น จึงทำให้ต้องตั้งงบประมาณไว้ที่กระทรวงสาธารณสุข เพื่อช่วยเหลือโดยตรงไปก่อน สำหรับคนกลุ่มแรกตามแนวชายแดน แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อการดูแลรักษากลุ่มคนอีกหลายกลุ่ม
“การทำงานของกระทรวงสาธารณสุขจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องดึงหลายภาคส่วนให้เข้าใจถึงปัญหาในแต่ละพื้นที่ เพื่อจัดสรรงบประมาณแก้ไขได้ตรงจุดมากขึ้น และเพื่อไม่ให้ทางกระทรวงฯ ต้องแบกรับปัญหางบประมาณนี้ในอนาคต จึงจำเป็นอย่างยิ่งในการเร่งพิสูจน์สัญชาติบุคคลจำนวน 4.7 แสนคน เพื่อให้เข้าสู่ระบบประกันสุขภาพตามปกติ”
ส่วนนายสรวิชญ์ แชกอ ตัวแทนจากเครือข่ายชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การได้รับสิทธิในการรักษาพยาบาลในครั้งนี้ นับเป็นสิ่งที่บุคคลไร้สัญชาติทุกคนในแผ่นดินไทยรู้สึกยินดีมาก เพราะทุกครั้งที่มีการเจ็บป่วย และเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล จะไม่ได้รับการดูแล บางครั้งต้องต่อคิวเป็นคิวสุดท้าย หรือไม่ได้รับการตรวจโรคเพราะหมดเวลาทำการรักษา ซึ่งต่อไปเชื่อว่า จะได้รับความเป็นธรรมในการเข้าถึงระบบสุขภาพมากขึ้น