- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- แพทยสภาโต้กม.ฟ้องแพทย์แก้ปัญหาปลายเหตุ
แพทยสภาโต้กม.ฟ้องแพทย์แก้ปัญหาปลายเหตุ
หมอสมศักดิ์ เชื่อกฎหมายนี้ทำให้การดูแลเลวลงแต่ต้องเสียเงินมากขึ้น ขณะที่ “สารี อ๋องสมหวัง” ย้ำชัดแพทยสภาออกโรงค้านวันนี้สายเกินไป เพราะกฎหมายอยู่ในการพิจารณาของกฤษฎีกา 11 เดือนแล้ว ส่วนผู้พิพากษา แนะส่วนที่ดีก็ควรคงไว้ ปรับเฉพาะที่บกพร่อง
วันนี้ (1 ส.ค.) สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ร่วมกับสถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย จัดราชดำเนินเสวนา โครงการร่วมปฏิรูปประเทศไทย ครั้งที่ 11/2553 ในหัวข้อ “หาจุดร่วมสงวนจุดต่าง : ทางออก พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากบริการสาธารณสุข” โดยมีวิทยากรที่เข้าร่วม ได้แก่ นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา ,น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ,นายดล บุนนาค ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลประจำสำนักประธานศาลฎีกา และ นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ รองเลขาธิการ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)
หวั่นหมอหมดกำลังใจไม่อยากดูแลคนไข้เสี่ยง
นพ.สมศักดิ์ กล่าวถึงประเทศสวีเดน ซึ่งมีการประกาศใช้ พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายฯ เปรียบเทียบความแตกต่างกับประเทศไทยว่า เม็ดเงินที่สวีเดนนำมาจ่ายค่าชดเชยเยียวยาแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากการบริการสาธารณสุขนั้นมาจากภาษีท้องถิ่น เนื่องจากหากให้รัฐจ่ายจะทำให้งบประมาณประเทศถูกใช้ไปจนหมด ในกรณีที่มีผู้ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายเป็นจำนวนมหาศาล ซึ่งปัจจุบันไทยมีกฎหมายช่วยเหลือผู้เสียหายอยู่แล้ว 2 แสนบาท ถ้ามีกฎหมายคุ้มครองฯ ฉบับนี้ขึ้นมา จะทำให้มีการฟ้องร้องเป็นหลักล้านบาทขึ้นไปต่อราย ในร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ยังมีประเด็นการฟ้อง 2 ต่อ คือผู้เสียหายจะได้เงิน 2 ต่อหากได้เงินเยียวยาแล้วไปฟ้องศาลอีก ซึ่งตนคิดว่าอาจจะต้องนำไปเสียค่าทนาย ค่าศาลจนหมด
นพ.สมศักดิ์ กล่าวถึงข้อแตกต่างในเนื้อหากฎหมายในต่างประเทศจะจ่ายค่าเสียหายเป็นรายเดือน ไม่ใช่เป็นก้อน ยกเว้นพิการบางเรื่อง ในส่วนประเทศที่ใช้กฎหมายนี้ยังมีนิวซีแลนด์ และสวีเดน เป็นประเทศที่มีความโปร่งใสอันดับ 1 และ 3 ของโลก ส่วนประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 84 อีกทั้งปัจจัยด้านรายได้ จำนวนประชากรและการศึกษาแตกต่างกันไม่มากเหมือนในประเทศไทย โดยประเทศที่มีกฎหมายนี้เป็นรัฐสวัสดิการที่ประชาชนต้องเสียภาษีสูง และมีประชากรน้อย อีกทั้งแทบจะไม่มีโรงพยาบาลเอกชน
“แต่คนไทยส่วนใหญ่ไม่ได้เสียภาษี เงินกองทุนที่จะนำมาจ่ายสูงถึง ร้อยละ 83 ขณะที่สวีเดนกองทุนจ่ายเพียง ร้อยละ 18-45 ซึ่งปัญหาคือการร้องเรียนเพื่อขอเงินชดเชยจะเพิ่มขึ้น กฎหมายฉบับนี้ยังไม่แก้ปัญหาการฟ้องร้องแพทย์ทางศาล ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลจะเพิ่มขึ้น ไม่ได้ให้ความเป็นธรรมต่อแพทย์เพราะผู้พิจารณาการใช้กฎหมายไม่มีความรู้ทางแพทย์ และแพทย์หมดกำลังใจไม่อยากดูแลคนไข้เสี่ยง”
นายกแพทยสภา กล่าวอีกว่า กฎหมายยังเป็นเรื่องเยียวยามากกว่าป้องกัน แก้ปลายเหตุ การร้องเรียนไม่ลดลง จะไปศาลเตี้ยแทนศาลจริงเพราะได้เงินเท่ากันแต่เร็วกว่า ไม่เสียค่าทนายค่าศาล
“สหรัฐอเมริกากับอังกฤษ เชิญสวีเดนไปอธิบายกฎหมาย พบว่ามีการฟ้องร้องเพิ่ม เขาเห็นแล้วก็ไม่เอา โดยการจะสร้างสมดุลต้องให้ผู้ป่วยมีความปลอดภัยในการพบแพทย์ ได้รับการเยียวยาเหมาะสมเป็นธรรมและรวดเร็ว สิทธิแพทย์ได้รับการดูแล” นพ.สมศักดิ์ กล่าวและว่า กฎหมายนี้จะทำให้การดูแลเลวลงแต่ต้องเสียเงินมากขึ้น ซึ่งผู้ร่างหวังจะได้เป็นผู้บริหารกองทุนจำนวนหลายหมื่นล้านบาท และสร้างเครือข่ายทั่วประเทศ
"สารี" ถูกหักหลัง ยอมรับกม.ฉบับนี้ไม่เห็นด้วยหลายอย่าง
ขณะที่น.ส.สารี กล่าวถึงกรณีที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ จ.สมุทรสงคราม ที่ใช้ยาคุมมา 5 ปี แต่ท้องกลับโตขึ้นเรื่อยๆ เมื่อไปสถานีอนามัยก็คลำเจอก้อนเนื้อ หลังจากนั้นได้ส่งตัวไปที่โรงพยาบาล จนมีการนัดผ่าตัด ปรากฏว่าเจอเด็กแฝด มีการส่งเรื่องให้กระทรวงสาธารณสุขวินิจฉัยว่าการผ่าท้องเป็นการวินิจฉัยโรคหรือไม่ หรือแม้แต่กรณีคุณดอกรัก ที่หมอบอกว่าแพ้ยา จนทำให้ตาบอด ก็แนะนำคุณดอกรักว่าไม่ต้องไปแจ้งสาธารณสุข ให้ไปฟ้องศาล สุดท้ายก็ฟ้องชนะได้มา 8 แสนบาท เป็นต้น
“ไม่ง่ายที่คนเล็กๆน้อยๆจะใช้กฎหมาย ความขัดแย้งมีขึ้นเรื่อยๆจะปล่อยให้ระบบแบบนี้เดินหน้าหรือไม่นั้น เมื่อไม่มีกระบวนการชดเชย อยากได้ต้องฟ้องเช่นนั้นหรือ” น.ส.สารี กล่าว และว่า การไม่เห็นด้วยของแพทยสภาในวันนี้สายเกินไป เพราะกฎหมายอยู่ในการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา 11 เดือน แล้วเพิ่งมาคัดค้านถือว่านานเกินไป
เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า ในกฎหมายฉบับนี้ก็ไม่เห็นด้วยหลายอย่าง เพราะถูกรัฐมนตรีหักหลัง เพราะเราเคยคัดค้านว่าไม่ควรมีกระบวนการไกล่เกลี่ย แต่ก็ยังมี ซึ่งเป็นกังวลเพราะรู้ว่าแพทย์ทำงานหนัก พยาบาลยิ่งทำงานหนักมาก ในส่วนมาตรา 45 เป็นคุณ เราต้องพยายามเขียนให้ศาลสามารถวินิจฉัย เพราะเชื่อว่าไม่มีหมอคนไหนในประเทศไทยอยากทำให้คนไข้เสียหาย ความผิดพลาดเกิดขึ้นได้ เมื่อเกิดความเสียหายขึ้น หมอเองก็เสียใจ แล้วเรามีกลไกอะไรให้เขา
ในส่วนของประเด็นที่กลัวว่าผู้เสียหายจะได้เงิน 2 ต่อนั้น น.ส.สารี กล่าวว่า มาตรา 34 ระบุว่าถ้าฟ้องได้เงินแล้วผู้เสียหายยังไม่ยอม โดยยังไปฟ้องศาลต่อ กองทุนนี้จะไม่รับรอง ขณะที่กรณีมีการแก้กฎหมายตามที่เอ็นจีโอบีบก็ไม่เป็นความจริง ส่วนที่มีการบอกว่าโรงพยาบาลจะต้องจ่ายเงินสมทบนั้น ก็ไม่จริงเช่นกัน
กม.ลูกผสม ไม่ชัดว่าเป็น welfare
ส่วนนายดล กล่าวถึงกระแสสังคมที่มีความเห็นต่อกฎหมายฉบับนี้แตกต่างกันนั้น อย่างแรกที่ต้องทำคือปรับความคิดกันก่อนในระดับหนึ่ง คือถ้าผิดก็ต้องยอมรับผิด แต่ถ้าไม่ผิดก็ยอมรับกันคนละครึ่ง
“เรื่องนี้มีอยู่ 2 ประเด็น คือนโยบายกับกฎหมาย อย่างแรกกฎหมายฉบับนี้จะออกหรือไม่ จะเอาหรือไม่เอา อยู่ที่สภาฯ อยู่ที่ ส.ส. กับ ส.ว. ไม่ใช่ที่เรา เราแสดงความเห็นได้ แต่สุดท้ายต้องมีกระบวนการไปสู่สภาฯ ให้ได้ ทำให้ ส.ส.และส.ว.เห็นอย่างที่เราเห็น”
ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลประจำสำนักประธานศาลฎีกา กล่าวว่า โดยกฎหมายที่เข้ามายกร่าง 7 ฉบับนั้น มี 6 ฉบับที่มีความพยายามสูงที่จะเอา ในส่วนของเนื้อหานั้นต้องปรับแน่นอน โดยก่อนร่างนั้นต้องชัดเจนว่าจะออกแบบกฎหมายเป็นสวัสดิการหรือว่า welfare
“ผมว่ากฎหมายฉบับนี้เป็นลูกผสม ไม่ชัดว่าเป็น welfare เนื้อหากฎหมายในประเด็นยุติคดีหรือไม่ กับไกล่เกลี่ยยอมความนั้น กฎหมายเขียนแยกกัน ในส่วนของกองทุนควรจะมีไหม ทุกวันนี้รัฐจ่ายมาก บางทีจับจำเลยก็ต้องจ่ายถ้าศาลยกฟ้อง บางรายจ่ายเป็นล้าน เพราะต้องชดเชยในการจับผิดตัวนอนคุกคืนละ 400 บาท อย่างนี้ทำไมเราไม่แจ้งตำรวจ และอัยการ ว่าจับคนผิด เมื่อศาลยกฟ้องแล้วตำรวจต้องจ่าย เพราะฉะนั้นถ้าตำรวจต้องรับผิดชอบ แทนที่จะจับผิด ก็ไม่จับดีกว่า ผมคิดว่าประเด็นนี้กฎหมายควรมี เพราะไม่อย่างนั้นรัฐจ่ายอาน จะเอาเงินจากไหน ซึ่งต้องคุยกัน โรงพยาบาลไหนทำดีก็อาจจะได้จ่ายน้อยประมาณนี้”
นายดล กล่าวถึงประเด็นที่ถกเถียงเรื่องผู้เสียหายจะได้เงิน 2 ต่อหรือไม่นั้น งบค่าเสียหายมี 2 ก้อน คือจ่ายเลยเบื้องต้น กับ จ่ายเงินชดเชย หากได้เงินแล้วไปฟ้องศาลอีก ก็ต้องดูว่าทำไมไม่พอใจ ซึ่ง มาตรา 41 พ.ร.บ.สุขภาพ กำหนดไว้ว่า หากศาลสั่งให้จ่ายอีก ก็ให้หักเงินเบื้องต้นออก การจ่ายชดเชยสินไหมทดแทนซ้อนกันอยู่หรือไม่ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจ เพราะองค์ประกอบคณะกรรมการมี 2 ชุดคือ กำกับทิศทางนโยบาย กับ คณะทำงาน ก็อยู่ที่ว่าความเห็นคณะกรรมการเป็นที่สุดหรือไม่ หรือว่าผูกพันศาลหรือไม่
ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลประจำสำนักประธานศาลฎีกา กล่าวด้วยว่า หากทำกฎหมายเป็น welfare คนตัดสินต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งในส่วนของบทโทษนั้นจะมีศาลลดโทษให้ จากการรับสารภาพ บางกรณีหมออาจจะไม่รับสารภาพก็ได้ หรือสารภาพก็ได้ ศาลสามารถลดโทษให้เป็นรอลงอาญา หรือไม่ลงก็ได้ ประเด็นของการพิจารณานี้จำเป็นต้องคงไว้
“กฎหมายฉบับนี้ดีหรือไม่ ผมว่าหมอรับได้บางส่วนหรือไม่ แล้วหมอเห็นว่าเป็นประโยชน์กับผู้เสียหายหรือไม่ กฎหมายไม่เกี่ยวกับการฟ้องคดีที่จะมีเพิ่มมากขึ้น ฟ้องไม่ฟ้องผมว่า ไม่ใช่ประเด็น มีแค่เพียงว่าอาจจะไม่เข้าใจ ก็เลยทำให้เรื่องไปสู่ศาลมากขึ้น คนจะฟ้องก็ฟ้อง ผมว่าส่วนที่ดีของกฎหมายควรเอาไว้ไหม แล้วปรับในส่วนที่บกพร่อง” นายดล กล่าว
นพ.ประทีป ย้อนอดีตหมอนัดแต่งดำเกิดมาแล้ว
สำหรับ นพ.ประทีป กล่าวว่า 7-8 ปีก่อน บุคลากรสาธารณสุขเคยออกมาแต่งดำคัดค้านกฎหมาย และในปัจจุบันนี้ได้เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งทำนองเดียวกัน และเพื่อเป็นการลดความกังวลบุคลากรสาธารณสุขในการออกกฎหมาย ต้องศึกษาข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ทั้งนี้เพื่อออกแบบระบบกฎหมายโดยไม่มีผลประโยชน์อื่นแอบแฝง ซึ่งที่บรรดาผู้คัดค้านออกมาบอกว่าจะทำให้คนส่วนใหญ่ของประเทศเสียประโยชน์ แล้วผลประโยชน์จะไปตกอยู่กับนักการเมือง และคนส่วนน้อยนั้น งบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติปี 2546-25552 ปรากฏว่ามีเงินเพิ่มขึ้น
นพ.ประทีป กล่าวว่า กฎหมายที่กลุ่มบุคลากรสาธารณสุขคัดค้านคราวนั้น ในวันนี้ส่งผลให้ประชาชนเข้าถึงการบริการผู้ป่วยนอกเพิ่มขึ้น ร้อยละ 32 และตั้งแต่ ค.ศ.2002 เป็นต้นมา อัตราการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจลดลง เส้นเลือดในสมองแตกเป็นอัมพาตก็มีอัตราการเสียชีวิตลดลง เช่นเดียวกับโรคเอดส์และโรคที่เกี่ยวกับหัวใจ ซึ่ง 7-8 ปีที่ผ่านมาความพึงพอใจของประชาชนเกินร้อยละ 80
“วิกฤตความสัมพันธ์ ระหว่างแพทย์กับผู้ป่วย และแพทย์กับสังคม โรงพยาบาลในประเทศไทยร้อยละ 80 เป็นของรัฐ จากการเกื้อกูลกันก็กลายเป็นพาณิชย์มากขึ้น โรงพยาบาลเอกชนส่วนน้อยมีกำลังเข้าตลาดหลักทรัพย์ ทำให้มีค่าใช้จ่ายมากขึ้น ราคาสูงขึ้นความคาดหวังของผู้ป่วยก็สูงขึ้นเช่นกัน เพราะฉะนั้นเมื่อเกิดเหตุก็จึงนำไปสู่การฟ้องร้อง ในขณะที่ผู้ให้บริการเองก็ซื้อประกันคุ้มครองความเสียหาย ก็ยิ่งทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น”
สิ่งที่สำคัญที่สุด นพ.ประทีป กล่าวว่า คือ ความไว้วางใจ เมื่อจำนวนการฟ้องร้องเพิ่มขึ้น การชดเชยความเสียหายจากกระบวนการทางศาลมีข้อเสียคือใช้เวลานาน ซึ่งเป็นผลเสียต่อผู้เสียหายและแพทย์ อีกทั้งการพิสูจน์ถูกผิดบางครั้งก็นำไปสู่การดึงข้อมูลทางการแพทย์ จนอาจทำให้ติดคุก และค่าชดเชยอาจน้อยกว่าที่ควร