- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- 5 กระทรวง ร่วมลงนาม เอ็มโอยู เชื่อมโยงข้อมูลด้านสุขภาพ
5 กระทรวง ร่วมลงนาม เอ็มโอยู เชื่อมโยงข้อมูลด้านสุขภาพ
นายกฯ ยันลงทุนพัฒนาเชื่อมโยงระบบข้อมูลให้ทันสมัย มีมาตรฐาน ใช้ประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่า เป็นหัวใจสำคัญของการปรับปรุงระบบบริการด้านสุขภาพ หวังให้ประชาชนเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้ทั่วถึง -รวดเร็ว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัญหาสุขภาพเป็นปัญหาสำคัญของประชาชนทุกคน ในภาวะปัจจุบันจะพบว่า สังคมไทยมีสถิติการบาดเจ็บและการเจ็บป่วยจากสาเหตุต่าง ๆ เพิ่มสูงขึ้น อีกทั้งยังมีโรคอุบัติใหม่เกิดขึ้นอีกหลายชนิด ทำให้มีความจำเป็นที่จะต้องพัฒนาการให้บริการด้านสุขภาพให้มีประสิทธิภาพ รัฐบาลจึงมีนโยบายปรับปรุงระบบบริการสาธารณสุขให้ได้มาตรฐาน มีความสะดวกรวดเร็ว ยกระดับสถานีอนามัยเป็นโรงพยาบาล ส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล พัฒนาระบบเครือข่ายการส่งต่อและเชื่อมโยงกันทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน ลงทุนผลิตและพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข รวมทั้งปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการประกอบอาชีพด้านการแพทย์ ให้สามารถรองรับระบบบริการด้านสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“นอกจากนี้ รัฐบาลยังสนับสนุนการลงทุนเพื่อพัฒนาและเชื่อมโยงระบบข้อมูลเทคโนโลยีสารสนเทศด้านสุขภาพให้ทันสมัย มีมาตรฐานและสามารถใช้ประโยชน์ร่วมกันได้อย่างคุ้มค่า ซึ่งจะส่งผลดีต่อการพัฒนาการด้านการดำเนินงานด้านสุขภาพ”
นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า การลงทุนเพื่อพัฒนาเชื่อมโยงระบบข้อมูลให้เกิดความทันสมัย มีมาตรฐาน ใช้ประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่าจะเป็นหัวใจสำคัญของการปรับปรุงระบบบริการด้านสุขภาพ ให้แก่พี่น้องประชาชน และทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้อย่างทั่วถึง และเกิดความสะดวกรวดเร็ว
จากนั้น นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “การพัฒนาและผลักดันมาตรฐานการแลกเปลี่ยนและเชื่อมโยงข้อมูลด้านสุขภาพ”ว่า ถือเป็นครั้งแรกที่ได้มีการเชื่อมโยงข้อมูลทั้งหมด รวมทั้งกำหนดมาตรฐาน ซึ่งหากจัดทำฐานข้อมูลเสร็จแล้ว จะเป็นประโยชน์ด้านการแพทย์และสาธารณสุข ดังนี้ คือ 1.ช่วยเชื่อมโยงระบบการส่งต่อผู้ป่วยอุบัติเหตุ-ฉุกเฉินเช่นเมื่อมีผู้ป่วย ฉุกเฉินหรืออุบัติเหตุ ก็จะสามารถออนไลน์ข้อมูลเชื่อมโยงกันได้ทั่วประเทศ แพทย์สามารถใช้ข้อมูลในการรักษาผู้ที่ได้รับบาดเจ็บหรือผู้เจ็บป่วยฉุกเฉิน ได้โดยไม่จำเป็นต้องกลับไปเอาแฟ้มประจำตัวกลับมาจากหน่วยบริการที่ขึ้น ทะเบียนไว้อีก
"2.ช่วยเชื่อมโยงระบบข้อมูลการแพทย์ทางไกล ซึ่งแพทย์อาจจะอยู่ในจุดหนึ่ง ผู้ป่วยอยู่ในจุดหนึ่งแต่สามารถที่จะตรวจสอบข้อมูลประจำตัวของผู้ป่วยได้ เพื่อประโยชน์ในการวินิจฉัยสั่งการหรือวินิจฉัยในการรักษาได้ รวมทั้งใช้ในการแนะนำการรักษาระหว่างแพทย์ บุคลากรทางการแพทย์ เช่น พยาบาล ในการที่จะเข้าไปดูแลผู้ป่วยในระบบทางไกล 3.ช่วยเชื่อมโยงระบบประกันสุขภาพทั้ง 3 ระบบ คือระบบสวัสดิการข้าราชการ ระบบประกันสังคม และระบบรักษาฟรี 48 ล้านคนด้วยบัตรประชาชนใบเดียว สามารถเชื่อมโยงฐานข้อมูลต่างๆเข้าด้วยกันได้ ซึ่งจะต้องมีการออกแบบ กำหนดมาตรฐาน และกำหนดแนวปฏิบัติกันอีกครั้งหนึ่ง โดยนายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้แต่งตั้งคณะทำงานที่จะขับเคลื่อนเรื่องนี้ต่อไป และประกาศให้ทราบว่าจะใช้ระยะเวลาการจัดทำฐานข้อมูลทั้งหมดภายในกี่ปี จะใช้ประโยชน์ได้เมื่อใด"
รมว.สธ. กล่าวด้วยว่า เรื่องการจัดทำฐานข้อมูลด้านสุขภาพเคยเกิดขึ้นมานานแล้ว แต่ที่ผ่านมาเป็นลักษณะต่างคนต่างทำ เพราะฉะนั้นข้อมูลจึงเชื่อมโยงกันไม่ได้ ความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยให้ข้อมูลมีการเชื่อมโยงกันได้ครบถ้วนทั้งหมด เนื่องจากเรามีอี-กอปเวินเมน (e-Government) หรือรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์แล้ว ก็จะมีอี-เฮลท์ ( e –health )หรือข้อมูลสุขภาพอิเล็กทรอนิกส์เกิดขึ้นด้วย โดยส่วนหนึ่งเป็นความเห็นขององค์การอนามัยโลก ที่เข้ามาศึกษาประเทศไทยและเห็นว่าประเทศไทยมีศักยภาพที่จะทำได้
สำหรับการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการพัฒนาและผลักดันมาตรฐานการแลกเปลี่ยนและเชื่อมโยงข้อมูลด้านสุขภาพในครั้งนี้ เป็นการร่วมกันดำเนินการพัฒนาและผลักดันมาตรฐานข้อมูลทางการแพทย์และข้อมูลบริการสุขภาพของประเทศ ตลอดจนการพัฒนาคุณภาพข้อมูลและการนำข้อมูลไปประยุกต์ใช้ในการดูแลและบริการสุขภาพของประชาชนอย่างถูกต้อง ปลอดภัย และเป็นไปตามมาตรฐานสากล ตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ ปี 2553-2562 ที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2553 และสอดคล้องกับแนวทางการบูรณาการข้อมูลภาครัฐตามนโยบายรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์และตอบสนองต่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐสมัยใหม่ ตลอดจนช่วยส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านสุขภาพของภูมิภาคอย่างยั่งยืน