- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- ปณ.คิดตั้งธนาคารคนจน ยังไม่ตอบโจทย์ลดความเหลื่อมล้ำ
ปณ.คิดตั้งธนาคารคนจน ยังไม่ตอบโจทย์ลดความเหลื่อมล้ำ
รศ.ดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ ชี้แค่ประชานิยม-แปลงโฉมกองทุนหมู่บ้าน จากทรท.สู่ยุคปชป. แนะรบ.หันมองกลุ่มสัจจะออมทรัพย์ ที่มีอยู่แล้วทั่วปท. สร้าง “ธนาคารของชาวบ้าน” เชื่อยั่งยืน-ชาวบ้านรู้สึกได้ถึงความเป็นเจ้าของ
รศ.ดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะกรรมการสมัชชาปฏิรูป (คสป.) และกรรมการปฏิรูป (คปร.) เปิดเผยกับศูนย์ข้อมูลข่าวสารปฏิรูปประเทศไทยถึงกรณีแนวคิดของกระทรวงการคลังและกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ผลักดันให้บริษัทไปรษณีย์ไทย ตั้งบริษัทลูกเพื่อปล่อยกู้ให้ประชาชน ในรูปแบบธนาคารคนจน เพื่อแก้ปัญหาหนี้สินนอกระบบว่า แนวคิดนี้แค่เสริมให้คนมีเงินในระบบมากขึ้น เป็นเพียงการลดภาระค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่สูง และทำให้เงินกระจายไปทั่วหัวระแหงเท่านั้น แต่ยังไม่ได้ตอบโจทย์ว่าจะลดความเหลื่อมล้ำ หรือทำให้เกิดการกระจายการถือครองทุนได้อย่างไร
รศ.ดร.ณรงค์ กล่าวว่า ปัญหาขณะนี้ คือ ความเหลื่อมล้ำทางรายได้ และการถือครองทรัพย์สิน แนวคิดการตั้งธนาคารไปรษณีย์ จึงไม่ได้ตอบโจทย์ว่าจะทำอย่างไรให้คนกลุ่มนี้เป็นเจ้าของทุนได้ เจ้าของปัจจัยการผลิตได้ และไม่ได้ตอบโจทย์ความยั่งยืนที่จะทำให้ประชาชนพึ่งตนเอง ซึ่งหากมองไปที่กลุ่มสัจจะออมทรัพย์จะเห็นว่า ตอบโจทย์เหล่านี้ได้มากกว่า
“ธนาคารไปรษณีย์เป็นเพียงรูปแบบหนึ่งของกองทุนหมู่บ้านยุคใหม่ เชื่อว่า คนที่กู้เงินไปก็เพื่อไปใช้คืนกองทุนหมู่บ้านเดิมวนอยู่อย่างนี้ ดังนั้นจะทำอย่างไรให้ธนาคารเป็นของคนจน ไม่ใช่ของเศรษฐี” รศ.ดร.ณรงค์ กล่าว และว่า คนที่อยากกู้เงินเพียงหลักพันถึงหลักหมื่นต้นๆ แม้จำนวนเงินระดับนี้ ไม่มีสถาบันการเงินที่เป็นทางการใดให้กู้ได้ นอกจากกลุ่มออมทรัพย์ในชุมชน หรือกองทุนหมู่บ้าน ที่เป็นเหมือนธนาคารเพื่อคนจนชนิดหนึ่ง ส่วนธนาคารไปรษณีย์นั้นก็ต่างกันแค่วิธีจัดการ ในหลักการเหมือนกัน คือ ใช้เงินของรัฐเข้าไปทำ และทำให้ชาวบ้านไม่รู้สึกถึงความเป็นเจ้าของ เพราะเป็นเพียงสิ่งที่รัฐให้ เมื่อเงินหมดก็ขอใหม่ จึงเป็นเพียงวิธีหนึ่งของนโยบายประชานิยมเท่านั้น
รศ.ดร.ณรงค์ กล่าวว่า แนวคิดธนาคารไปรษณีย์ ปัญหาคือเมื่อเป็นธนาคารแล้วจะขยายตัวไปทำธุรกิจแบบอื่นยาก ติดขัด ไม่ยืดหยุ่น ทำไมรัฐไม่จัดระบบกลุ่มออมทรัพย์ที่มีอยู่แล้วทั่วประเทศ สร้างธนาคารขนาดใหญ่ขึ้นมาเป็นธนาคารของชาวบ้านเอง ซึ่งขณะนี้บางแห่งมีความพร้อมที่จะทำได้แล้ว เช่น เครือข่ายของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น ฯลฯ รัฐน่าจะประสานหรือร่วมมือกันเพื่อเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
“ห่วงว่าเอาเข้าจริงๆ ธนาคารไปรษณีย์ก็ไม่ต่างจากกองทุนหมู่บ้าน อีกทั้งไม่แน่ใจว่า การนำเงินของรัฐใส่เข้าไปในไปรษณีย์แล้วปล่อยกู้จะดี จะเหมาะกว่าหรือไม่ อาจจะดีกว่ากองทุนหมู่บ้าน เพราะไปรษณีย์มีการบริหารจัดการที่เป็นระบบมากกว่า แต่ก็ทับซ้อนกัน ธนาคารไปรษณีย์ของพรรคประชาธิปัตย์ กองทุนหมู่บ้านของพรรคไทยรักไทย (เดิม) ซึ่งทำไมรัฐไม่แปลงกองทุนหมู่บ้านที่มีอยู่ แทนการสร้างองค์กรใหม่ขึ้นมา”
กรรมการปฏิรูป กล่าวว่า กลุ่มสัจจะออมทรัพย์ไม่ได้เป็นเพียงหน่วยทางเศรษฐกิจอย่างเดียว แต่ยังเป็นหน่วยทางสังคม ที่ฝึกคนในการใช้จ่ายเก็บเล็กผสมน้อย เงินเป็นเพียงตัวร้อยรัดหน่วยทางสังคม เป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผู้ให้กับผู้รับ ซึ่งกลุ่มสัจจะออมทรัพย์ทำให้เกิดความรู้สึกในการกู้เงินออมของตัวเอง คือต้องมีเงินออมของตนเองก่อนจึงจะกู้ได้ ความรู้สึกตรงนี้ต่างกันกับธนาคารไปรษณีย์
เมื่อถามถึงการนำแนวคิดธนาคารกรามีน ของประเทศบังคลาเทศมาเป็นต้นแบบในการจัดตั้งธนาคารไปรษณีย์ นั้น รศ.ดร.ณรงค์ กล่าวว่า ตนมองว่าส่วนหนึ่งเป็นการพัฒนาแนวคิดมาจากประเทศญี่ปุ่นที่มีการใช้สาขาไปรษณีย์มาทำเป็นธนาคาร ซึ่งประสบความสำเร็จมาแล้ว เนื่องจากมีฐานธนาคารจากกลุ่มสหกรณ์ ส่วนแนวคิดธนาคารกรามีนนั้นบางครั้งยังพูดเรื่องนี้ด้วยความไม่เข้าใจ หลักการของธนาคารกรามีนคือ การทำให้กลุ่มคนจนที่กู้ยืมเงินมีการเกื้อกูลกันในลักษณะกลุ่มที่แข็งแรงกว่าสามารถช่วยเหลือกลุ่มที่อ่อนแอได้ สามารถเติบโตขยายตัวจากธนาคารไปสู่ธุรกิจ
“ธนาคารกรามีนจึงเป็นทั้งธนาคารและแหล่งศูนย์กลางการค้าขายและการลงทุน โดยจัดการกลุ่มลูกค้าพัฒนายกระดับขึ้นมาเป็นหน่วยธุรกิจจากเดิมที่เป็นเพียงผู้กู้รายย่อย แต่เท่าที่ทราบขณะนี้ธนาคารไปรษณีย์ยังไม่ตอบโจทย์ความยืดหยุ่นในเรื่องการขยายตัวของธนาคาร”
รศ.ดร.ณรงค์ กล่าวด้วยว่า แนวคิดธนาคารไปรษณีย์ อาจเป็นเพียงการพยายามลดภาระดอกเบี้ยเงินกู้นอกระบบมากกว่า เช่น ถ้าคนงานกู้เงินนอกระบบ 5,000 บาท ดอกเบี้ย 20% ต่อเดือน ต้องจ่ายดอกเบี้ย 1,000 บาท สิบปีผ่านไป อาจจ่ายได้แค่ดอกเบี้ยไม่มีทางจ่ายเงินต้นได้หมด และหากจะให้กู้จากกลุ่มออมทรัพย์ชุมชนก็ได้ แต่ทว่าคนส่วนใหญ่นั้นไม่มีกลุ่มออมทรัพย์ เป็นต้น รัฐบาลคงคิดจะเติมช่องว่างตรงนี้ จึงเป็นเหตุผลของการเสนอความคิดสร้างสถาบันการเงินเพื่อปล่อยเงินกู้ให้คนกลุ่มนี้ พยายามจะแปลงโฉมไปรษณีย์ที่มีอยู่ทั่วประเทศเป็นธนาคารคนจน โดยรัฐนำเงินหนุนเข้าไปแล้วปล่อยกู้แทน