- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- สศค.เปิดเวทีใหญ่ รับฟังความเห็นร่าง กม.ภาษีที่ดินฯ
สศค.เปิดเวทีใหญ่ รับฟังความเห็นร่าง กม.ภาษีที่ดินฯ
ก้าวแรก ก.คลังเดินไปสู่เป้าหมาย คนมีรายได้มากเก็บภาษีมาก เริ่มต้นรวมภาษีบำรุงท้องที่-โรงเรือนเข้าด้วยกัน เรียกชื่อใหม่เป็นภาษีที่ดินฯ “สาธิต รังคสิริ” แจงละเอียดยิบ ไม่ได้เปลี่ยนดินเปลี่ยนฟ้าทันที ให้เวลาเตรียมตัวเกือบ 5 ปี เชื่อแก้ปัญหาครอบครองที่ดิน ปล่อยร้างไม่ได้ใช้ประโยชน์ได้ผล
เมื่อวันที่ 30 ก.ย.ที่ผ่านมา สำนักงานเศรษฐกิจการคลังเปิดเวทีรับฟังและเสนอความคิดเห็น เรื่อง“ร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. .....” ณ ห้องคอนแวนชั่นเซ็นเตอร์ โรงแรมรามา การ์เด้นส์ กรุงเทพมหานคร มีนายสาธิต รังคสิริ ทำหน้าที่ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง วันสุดท้าย ก่อนจะไปรับตำแหน่งอธิบดีกรมสรรพากร บรรยายสรุปสาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ. ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. ...
นายสาธิต กล่าวถึงเป้าหมายการทำงานว่า สิ่งที่กรมสรรพากรจะทำร่วมกับ สศค.คือการ ปรับโครงสร้างระบบภาษีครั้งใหญ่ให้ทันสมัย เพื่อเป็น Big Change โดยตั้งเป้าไว้ว่า ภายในปี 2555 จะปรับโครงสร้างระบบภาษีครั้งใหญ่ให้สำเร็จ ภาษีประเภทใดทำได้ก่อนก็จะไม่รอ หรือภาษีประเภทใดล้าสมัยจะมีการปรับแต่งใหม่ โดยเฉพาะภาษีเงินได้ ที่พบว่า ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมากกว่า 20 ปี
สำหรับเรื่องที่ดิน นายสาธิต กล่าวว่า มีภาษีเรื่องที่ดินถึง 8 ตัว ถามว่า คนไทยเสียภาษีถูกหรือไม่ เราจะสนุกกับระบบภาษีแบบนี้อยู่อีกหรือไม่ ซึ่งภาษีที่เก็บจากที่ดิน มี 2 ส่วน คือ ภาษีที่เก็บจากการถือครองที่ดิน ได้แก่ ภาษีโรงเรือนและที่ดิน ภาษีบำรุงท้องที่ และที่เหลือคือภาษีที่เก็บจากเปลี่ยนมือในที่ดิน หากปรับกันใหม่ ก็ควรปรับภาษี 8 ตัว ให้เหลือ 2 ตัวนี้ ตัวหนึ่งเก็บจากการถือครอง และอีกตัวเก็บจากการเปลี่ยนมือ จากนั้นเก็บภาษีให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
นายสาธิต กล่าวว่า นี่คือก้าวแรกของกระทรวงการคลังที่จะเดินไปสู่เป้าหมาย ให้คนมีรายได้มาก เสียภาษีมาก โดยเริ่มต้นจากการรวมภาษีบำรุงท้องที่ และภาษีโรงเรือนเข้าด้วยกัน เรียกชื่อใหม่เป็นภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฯ ทำให้ง่ายและสมเหตุสมผล อนาคตก็จะมีแพ็คเก็จ รวมภาษีที่เก็บจากการเปลี่ยนมือในที่ดิน มาเป็นอีกตัวหนึ่ง แล้วเก็บ 2 ตัวนี้ จบ ไม่ต้องเสียภาษีถึง 8 ตัวให้ยุ่งยาก
“ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฯ ไม่ใช่ภาษีของรัฐบาลกลาง แต่เป็นภาษีที่ท้องถิ่นนำไปใช้บริหารท้องถิ่นอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป พึ่งพิงรายได้จากรัฐบาลกลางน้อยลง”
ผอ.สศค. กล่าวถึงที่ดินทั้งประเทศที่มีการครอบครอง แล้วไม่ได้ใช้ประโยชน์ มีถึง 70% ซึ่งกฎหมายภาษีที่ดินฯ จะช่วยลดและบรรเทาปัญหาได้ อีกทั้งยังมีธนาคารที่ดินที่จะเกิดขึ้นตามมา โดยธนาคารที่ดินจะเป็นความหวังคนทั้งประเทศต่อไป คนที่ไม่มีที่ดินทำกินจะมีโอกาสมาใช้ที่ดินชุมชน มีที่ทำกิน โดยรูปแบบจะถูกกำหนดขึ้นมาเพื่อให้มั่นใจว่า สามารถป้องกันไม่ให้นำไปขายคนรวย มีกรอบวางไว้ชัดเจน
นายสาธิต กล่าวถึงรายได้ของท้องถิ่นปัจจุบันที่เก็บได้ประมาณ 4 แสนกว่าล้านบาทนั้น ท้องถิ่นเก็บเองแค่ 9% ทั้งจากภาษีโรงเรือน และภาษีบำรุงท้องที่ ถือว่า เป็นสัดส่วนที่น้อยมาก เนื่องจากรัฐบาลเก็บภาษีแล้วแบ่งให้ท้องถิ่น ทั้งภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ภาษีธุรกิจเฉพาะ และมีเงินอุดหนุนให้ท้องถิ่นอีกต่างหาก ซึ่งหากท้องถิ่นบริหารเก็บภาษีโรงเรือนและภาษีบำรุงท้องที่ให้ดีๆ รัฐบาลกลางสามารถลดเงินอุดหนุนให้ท้องถิ่น และนำเงินส่วนนี้ไปบริหารส่วนกลาง สร้างสวัสดิการสังคมให้กับประเทศได้
“อย่างน้อยท้องถิ่นต้องช่วยตัวเองส่วนหนึ่งก่อน ต้องยืนบนขาตัวเองให้ได้ เมื่อใดไม่ไหวรัฐบาลถึงต้องเลี้ยง” นายสาธิต กล่าว และว่า ขณะนี้อยากเห็นท้องถิ่นมีความสามารถในการหาเงินเอง และใช้เงินอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ควรเป็นนกที่อ้าปากรอหนอนอย่างเดียว ท้องถิ่นวันนี้บินได้ หาเหยื่อเองได้แล้ว
นายสาธิต กล่าวด้วยว่า ในอนาคตคนไทยจะใช้ที่ดินอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าวันนี้ มากกว่าการเก็บไว้เก็งกำไร กฎหมายภาษีที่ดินฯ จึงไม่ได้เปลี่ยนดินเปลี่ยนฟ้าทันที เมื่อกฎหมายออกมาบังคับใช้ ก็ให้เวลาในการเตรียมตัวประมาณ 5 ปี ทำให้มั่นใจไม่สร้างภาระให้ใครเป็นพิเศษ
“กฎหมายภาษีที่ดินฯ ผ่านครม.แล้วเมื่อเดือนเมษายน 2553 เข้ากฤษฎีกาตรวจร่างกฎหมาย กฤษฎีกาฝากให้ถามประชาชน ประเด็นใหญ่ๆ เรื่องการกระจายถือครองที่ดิน ที่ดินรกร้างไม่ได้ใช้ประโยชน์ เหมาะสมเพียงพอหรือไม่ การลดหย่อนภาษีให้เกษตรกร การจัดตั้งธนาคารกองทุนที่ดิน จะเอาด้วยหรือไม่ ดังนั้นอยากให้เป็นภาษีตัวนี้เป็นของทุกคน ให้ทุกคนมีส่วนร่วมให้ความคิดเห็น”
ทั้งนี้ สำหรับร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. .....ผู้สนใจร่วมเสนอความคิดเห็นได้ จนถึงวันที่ 10 ต.ค.2553 ดาวโหลดแบบสำรวจได้ที่ http://www.fpo.go.th/land_tax/document.html