- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- ปฏิรูปงานวิจัยไม่ให้ขึ้นหิ้ง ภาคเอกชนชี้โจทย์ต้องมาจากชุมชน-ธุรกิจ
ปฏิรูปงานวิจัยไม่ให้ขึ้นหิ้ง ภาคเอกชนชี้โจทย์ต้องมาจากชุมชน-ธุรกิจ
ผอ.สำนักงานเทคโนโลยี บมจ. ปูนซีเมนต์ไทย เชื่อจะทำให้ผลงานวิจัยมีการนำไปใช้จริงมากขึ้น ขณะที่ กมธ.วิทยาศาสตร์ฯ เปิดปัญหา-อุปสรรคที่เป็นข้อจำกัดของการวิจัยไทยถึง 17 ข้อ
วันที่ 8 พฤศจิกายน คณะกรรมาธิการการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การสื่อสารและโทรคมนาคม วุฒิสภา จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง “การปฏิรูประบบวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยอย่างยั่งยืน” ณ ห้องประชุมคณะกรรมาธิการ อาคารรัฐสภา 2 เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน ก่อนนำไปพัฒนาและปรับปรุงระบบวิจัยของประเทศไทย โดยดร.นิลวรรณ เพชระบูรณิน รองประธานคณะกรรมาธิการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การสื่อสารและโทรคมนาคม วุฒิสภา กล่าวเปิดงาน
ดร.นิลวรรณ กล่าวถึงปัญหาและอุปสรรคที่เป็นข้อจำกัดของการวิจัยไทยมีอยู่ 17 ข้อ ประกอบด้วย 1.ยุทธศาสตร์หรือนโยบาย และแผนวิจัยแห่งชาติในปัจจุบันยังขาดความชัดเจน ขาดทิศทาง ขาดการมีส่วนร่วมในการจัดทำ 2.งบประมาณเพื่อการวิจัยยังไม่เพียงพอ 3.ขาดการบูรณาการในด้านการวิจัยในทุกระดับและทุกมิติ 4.ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในระบบวิจัยในสัดส่วนที่ต่ำ 5.โครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยียังไม่เพียงพอ 6.ไม่มีความชัดเจนในด้านกลไกการประสานเครือข่ายความร่วมมือ และระดับความร่วมมือ 7.การจัดสรรงบประมาณการวิจัยที่ไม่สอดคล้องกับความสำคัญของงานวิจัย หรืองานวิจัยที่ให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจที่สูง 8.ปัญหาด้านการบริหารจัดการ 9.การขาดหน่วยงานที่เป็นกลไกซึ่งทำหน้าที่อำนวยความสะดวกในการนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ 10.สถาบันวิจัยส่วนใหญ่เป็นมหาวิทยาลัยเพื่อการเรียนการสอน ไม่มี Incubation Center และสถาบันวิจัยเฉพาะทางมีน้อย
“11.ขาดการปรับปรุงและการพัฒนากฎหมายด้านการวิจัย 12.ปัญหาด้านปริมาณและคุณภาพของบุคลากรด้านวิจัย และปัญหาการสร้างแรงจูงใจ เพื่อให้ได้นักวิจัยมืออาชีพ 13.คุณภาพและมาตรฐานของงานวิจัยที่ยังไม่สูงพอ 14.ขาดงานวิจัยที่ตรงความต้องการของภาคธุรกิจ และไม่เป็นการวิจัยเชิงพาณิชย์ 15.การขาดความตระหนักในความสำคัญของการวิจัย และไม่ได้ใช้การศึกษาวิจัยอย่างเป็นระบบในการแก้ปัญหา 16.การขาดแคลนเครื่องมืออุปกรณ์ในการวิจัยในเชิงอุตสาหกรรม ไม่มี Center Lab ที่เพียงพอและใช้เครื่องมืออุปกรณ์ในการวิจัยที่มีอยู่อย่างจำกัดอย่างไม่คุ้มค่า 17.การขาดการกระตุ้นให้เห็นคุณค่าและประโยชน์ของการเรียนรู้ตลอดชีวิต อันเป็นพื้นฐานสำคัญของการขับเคลื่อนสังคมฐานความรู้”
จากนั้น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “ก้าวต่อไปของการปฏิรูประบบวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยอย่างยั่งยืน” ว่า ปัญหาด้านระบบการวิจัย แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ ปัญหาเชิงปริมาณ และเชิงคุณภาพ โดยด้านปริมาณ นั้น 1.ขาดแคลนบุคลากร ซึ่งสัดส่วนนักวิจัยในประเทศไทย ปี พ.ศ. 2550 มีจำนวนคิดเป็นร้อยละ 3.39 คนต่อจำนวนประชากร 10,000- 20,000 คนต่อจำนวนประชากรทั้งประเทศ ขณะที่จำนวนนักวิจัยกว่าร้อยละ 65 เป็นนักวิจัยที่อยู่ในสถาบันอุดมศึกษา ถือเป็นตัวเลขที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับต่างประเทศ ดังนั้นทางรัฐบาลจะสนับสนุนการเรียนการสอนด้านวิทยาศาสตร์ในโรงเรียนกระจายไปทุกภูมิภาค เพื่อเพิ่มโอกาสทางการศึกษาให้ทั่วถึง พร้อมทั้งจัดห้องเรียนวิทยาศาสตร์ เพื่อที่จะสร้างฐานของบุคลาการในอนาคต และปรับทัศนคติด้านการเรียนการสอน 2.ขาดงบประมาณในการสนับสนุนการวิจัย ปัจจุบันประเทศไทยมีงบประมาณการวิจัยอยู่ที่ร้อยละ 0.2 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) ซึ่งจะมีการผลักดันให้เป็นร้อยละ 1 ของ GDP ให้ได้ โดยรัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณจากโครงการไทยเข็มแข็งจำนวน 12,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนระบบวิจัย และจัดตั้งมหาวิทยาลัยที่มีความพร้อม 9 แห่งเป็นมหาวิทยาลัยเพื่อการวิจัย นอกจากนี้จะมีการกระตุ้นให้เกิดการวิจัยในภาคเอกชนมากขึ้น โดยใช้มาตรการด้านภาษีเป็นแรงจูงใจ
“แต่เดิมนั้นมาตรการลดหย่อนภาษีในเรื่องนี้ก็มีอยู่ แต่ไม่มีการใช้ เนื่องจากมีกฎระเบียบที่ยุ่งยาก มีระบบตรวจสอบที่หลายขั้นตอน อีกทั้งได้รับงบประมาณน้อย ทำให้ไม่ได้รับการตอบรับจากภาคเอกชน โดยจะต้องมีการปรับแก้กฎระเบียบใหม่ เพื่อความคล่องตัวในการบริหารจัดการ ส่วนโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ เช่น ด้านการใช้ทรัพยากร ภาครัฐและเอกชนมีการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดร่วมกันมากขึ้น” นายอภิสิทธิ์ กล่าว และว่า ปัญหาเชิงปริมาณที่เกิดขึ้น รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจและพยายามผลักดันและพัฒนาความเป็นไปได้เพื่อให้เกิดการพัฒนาเชิงก้าวกระโดดต่อไป
ส่วนปัญหาเชิงคุณภาพของระบบงานวิจัยของประเทศนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เป็นปัญหาที่ใหญ่มาก โดยข้อเท็จจริงพบว่า ในแต่ละปีประเทศไทยมีผลงานวิจัยจำนวนมาก แต่ยังมีคุณภาพไม่เพียงพอ อีกทั้งไม่ได้มีการนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์
นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงแนวทางการแก้ไขระบบการวิจัย ต้องกระตุ้นให้ภาคเอกชนทำการวิจัยทางเศรษฐกิจมากขึ้น เนื่องจากเอกชน ซึ่งเป็นผู้แข่งขันในตลาดย่อมเข้าใจด้านเศรษฐกิจมากกว่าภาครัฐ โดยรัฐจะพยายามชี้ให้เอกชนตระหนักถึงความสำคัญของงานวิจัยที่ช่วยพัฒนาองค์กร และให้เอกชนที่ใช้ผลงานวิจัยพัฒนาองค์กรจนประสบความสำเร็จเป็นต้นแบบให้แก่รายอื่นๆ รวมทั้งจะสนับสนุนนักวิจัยภาครัฐ ทำงานร่วมกับภาคเอกชน ซึ่งปัจจุบันติดขัดที่กฎระเบียบ ค่าตอบแทน และการแบ่งผลประโยชน์ เมื่องานไปสู่การจดสิทธิบัตร หรือมีรายได้ เรื่องนี้กำลังให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดูแล้ว
“สำหรับการแก้ไขตัวบทกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย จะกำหนดกฎหมายแม่บททางด้านระเบียบการวิจัยขึ้นใหม่ เพื่อให้หน่วยงานต่างๆ ทางด้านการวิจัย อาทิ สำนักงานวิจัยแห่งชาติ (วช.) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.) ฯ ทำงานได้อย่างสอดคล้องและเป็นระบบ, สร้างแรงจูงใจให้แก่ผู้ทำงานวิจัย และเน้นการสร้างผลงานที่ตอบโจทย์ อีกทั้ง สนับสนุนให้เกิดสถาบันวิจัยที่มีการจัดโครงสร้างใหม่อย่างเป็นระบบ”
ต่อจากนั้นมีการอภิปรายเรื่อง "แนวทางขั้นตอนการปฏิรูประบบการวิจัยของประเทศ" โดยดร.ปรเมธี วิมลศิริ รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สคช.) กล่าวถึงข้อจำกัดในวงจรระบบการวิจัยของไทย มีหน่วยงานตัวย่อ ส. และว. เกิดขึ้นมากมาย แต่ขาดการเชื่อมโยงทำงานแบบบูรณาการ
ด้านดร.วิไลพร เจตนจันทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานเทคโนโลยี บริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า งานวิจัยจะสามารถตอบโจทย์เศรษฐกิจสังคมได้ นโยบายและวิสัยทัศน์ต้องชัดเจน ซึ่งโจทย์ของการวิจัยต้องมาจากภาคธุรกิจ ชุมชน สังคม เพื่อทำให้ผลงานวิจัยมีการนำไปใช้จริงมากขึ้น รวมทั้งต้องมีตัวชี้วัดที่ต้องมาจากมหาวิทยาลัย สถาบันวิจัย หรือหน่ายงานที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยที่ชัดเจน นอกจากนี้ ต้องมีการสนับสนุนงบประมาณให้แก่เอกชนขนาดเล็กที่ขาดงบในการทำวิจัย มีกระบวนการดึงบริษัทต่างชาติที่มีการทำวิจัยเข้ามาลงทุนในประเทศ
“ขณะเดียวกัน มหาวิทยาลัยต้องสร้างคนให้คิดเป็น เน้นการต่อยอดองค์ทางความรู้ และเน้นการวิจัยที่ตอบสนองต่อความต้องการของภาคอุตสาหกรรมและสังคม เพื่อให้เกิดการพัฒนาบุคลากรและผลงานวิจัยอย่างมีคุณภาพ”
ขณะที่ ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.) กล่าวว่า การจะพัฒนาระบบการวิจัยได้นั้น จะต้องมีการประสานงานระหว่างภาครัฐและเอกชนเข้าด้วยกัน รวมทั้งต้องมีการส่งเสริมด้านงบประมาณและบุคลากรไปพร้อมกัน ส่วนสาเหตุที่เด็กไทย ไม่สนใจเรียนด้านวิทยาศาสตร์ และผู้ปกครองไม่ให้การสนับสนุน เพราะมองไม่เห็นตลาดแรงงาน ฉะนั้น รัฐต้องสร้างงานรองรับ และกำหนดอัตราค่าตอบแทนที่จูงใจ เพื่อให้เกิดนักวิจัยมากขึ้น
“การผลิตบุคลากรไม่ใช่เรื่องที่ทำได้อย่างรวดเร็ว จึงต้องกำหนดแผนในการผลิตที่เป็นรูปธรรม ฉะนั้นจึงเป็นเรื่องที่ท้าทายว่า หากประเทศไทยต้องการผลิตบุคลาการทางด้านวิจัยจากปัจจุบัน 4,000 คน ให้เพิ่มขึ้นเป็นอัตรา 100,000 คน ในปี พ.ศ. 2559 จะทำได้อย่างไร อีกทั้งการผลิตบุคลากรป้อนรัฐอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ ต้องผลิตบุคลากรป้อนภาคเอกชนด้วย”