- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- รัฐ เอกชน ภาคประชาสังคม จับมือประกาศเจตนารมณ์ ต้านทุจริตพิชิตคอร์รัปชั่น
รัฐ เอกชน ภาคประชาสังคม จับมือประกาศเจตนารมณ์ ต้านทุจริตพิชิตคอร์รัปชั่น
พุ่งเป้าคอร์รัปชั่นในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ นายกฯ ส่งไม้ต่อให้ คลังเป็นผู้ดำเนินการ-ผลักดันให้เกิดการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ด้านประธาน ป.ป.ช. ฝากความหวัง รัฐบาลจริงจังกับการแก้ปัญหาคอร์รัปชั่นมากขึ้น
วันที่ 10 พฤศจิกายน เวลา 9.30 น.นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และนายดุสิต นนทะนาคร ประธานกรรมการหอการค้าไทย ร่วมลงนามประกาศเจตนารมณ์ต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ภายในงาน Thailand Anti-Corruption EXPO 2010 หรืองานนิทรรศการต่อต้านการทุจริตของประเทศไทย ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพมหานคร เพื่อผนึกกำลังขจัดปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นในประเทศไทย
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า การลงนามครั้งนี้เกิดจากความร่วมมือของ 3 หน่วยงาน คือ ภาครัฐ เอกชน และองค์กรด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริต เพื่อแสดงเจตจำนงที่จะแก้ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐอย่างเป็นรูปธรรม เนื่องจากปัจจุบันรูปแบบการทุจริตคอร์รัปชั่นมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนับเป็นการเอารัดเอาเปรียบ เป็นบ่อนทำลายประเทศ และทำให้เศรษฐกิจเสียหาย ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ดำเนินการและผลักดันให้เกิดการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ
ขณะที่ประธาน ป.ป.ช. กล่าวว่า ปีนี้ประเทศไทยมีดัชนีชี้วัดภาพลักษณ์คอร์รัปชั่น (CPI) อยู่ที่ 3.5 จากคะแนนเต็ม 10 และอยู่ที่อันดับ 78 จาก 178 ประเทศทั่วโลก โดยค่าคะแนน 0 ถือว่าคอร์รัปชั่นมากที่สุด และ 10 คือคะแนนคอร์รัปชั่นน้อยที่สุด ซึ่งการลงนามประกาศเจตนารมณ์ฯครั้งนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. หวังว่า รัฐบาลจะจริงจังกับการแก้ปัญหาคอร์รัปชั่นมากขึ้น ขณะเดียวกัน ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน จะทำให้คะแนนความโปร่งใสของประเทศไทย สามารถขยับตัวไปถึง 5 คะแนนได้ในไม่ช้า
จากนั้น เวลาประมาณ 10.00 น. นายกรัฐมนตรี กล่าวสุนทรพจน์ในการเปิดการประชุมนานาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต ครั้งที่ 14 ภายใต้หัวข้อ “Restoring trust: global action for transparency” ซึ่งจัดขึ้นระหว่าง 10 -13 พฤศจิกายน ณ ห้องประชุมใหญ่ 1 และ 2 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งรัฐบาลไทย ป.ป.ช. กระทรวงยุติธรรม และองค์กรเพื่อความโปร่งใสในประเทศ เป็นเจ้าภาพจัดงาน
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า การทุจริตเป็นสิ่งที่ประเทศหรือภูมิภาคต่างๆ ต้องเผชิญหน้า เป็นภัยคุกคามที่ต้องต่อสู้ ผู้นำในยุคโลกาภิวัตน์ต่างยืนยันที่จะร่วมมือกันในการฟื้นฟูความเชื่อมั่นหลังจากที่ประสบกับวิกฤตการเงินและความท้าทายต่างๆ ของโลก ซึ่งการประชุมครั้งนี้จึงมีความสำคัญในการที่จะส่งสารไปให้ทั่วโลกรับรู้ว่า ได้มีความพยายามอย่างจริงจังในการแก้ไขปัญหาการทุจริต
“ประเทศไทย ขณะที่มีเปอร์เซ็นต์ของประชาชนจำนวนมากกล่าวว่าเป็นเรื่องยอมรับได้หากนักการเมืองจะทุจริต หากสามารถนำความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจมาได้ ซึ่งความเข้าใจผิดดังกล่าวต้องรีบแก้ไข แนวทางที่จะไปสู่แก้ปัญหาอย่างแท้จริง คือ ต้องหยุดเลี่ยงปัญหา เปิดกว้างให้มีการโต้แย้งและถกเถียงกันอย่างตรงไปตรงมา ”
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า การต่อสู้กับปัญหาคอร์รัปชั่นนั้น ไม่สามารถเอาชนะด้วยการออกกฎหมายเพียงอย่างเดียว อาจสามารถมีกฎหมายการต่อต้านการคอร์รัปชั่นที่ดีที่สุด และมีการบังคับใช้อย่างจริงจัง แต่หากผู้คนจำนวนมากยังคงชินชาและไม่แยแสต่อการคอร์รัปชั่น การต่อสู้กับปัญหาคอร์รัปชั่นยังคงอีกยาวไกล เพราะการปราบปรามคอร์รัปชั่นนั้นเป็นงานที่หนักและบุคคลหนึ่งบุคคลใดไม่สามารถที่จะอ้างความสำเร็จได้โดยลำพัง สังคมจะต้องร่วมมือกันให้มากยิ่งขึ้น โดยจะต้องย้ำให้เห็นถึงสาระสำคัญว่า การทุจริตคอร์รัปชั่นนั้นไม่เป็นที่ยอมรับในสังคม และช่วยขับเคลื่อน 'วัฒนธรรมของการไม่อดทนต่อการทุจริต'”
ด้านนางฮูเก็ต ลาเบลล์ ประธานองค์การเพื่อความโปร่งใสในประเทศไทย กล่าวว่า การทุจริตนับเป็นการบิดเบือนกลไกตลาด ซึ่งกระทบต่อประชาชนทั่วไปอย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนยากจน รวมทั้งบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชนต่อภาครัฐอีกด้วย การร่วมมือครั้งนี้จึงเกิดขึ้นเพื่อพิจารณาหาทางออกในเชิงปฏิบัติร่วมกัน
นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า การทุจริตถือเป็น ‘มะเร็งร้าย’ ที่ทำลายผู้คนในสังคมโลก การร่วมมือ ร่วมคิดในระดับนานาชาติ จึงเสมือน ‘แพทย์’ ที่จะช่วยรักษามะเร็งแห่งการทุจริตนี้
ดร.จุรี วิจิตรวาทการ เลขาธิการองค์การเพื่อความโปร่งใสในประเทศไทย กล่าวถึงการทุจริตคอร์รัปชั่น ส่งผลกระทบต่อการชะลอตัวในการพัฒนาประเทศ และสร้างความเสียหายอย่างมาก เนื่องจากการทุจริตไม่สามารถแยกออกจากบริบททางด้านเศรษฐกิจได้ รวมทั้งยังเป็นการทำลายคุณธรรมและจริยธรรมของสังคม ซึ่งก่อให้เกิดความอยุติธรรม เวทีประชุมนานาชาติจะช่วยให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิด เพื่อหาวิธีป้องกันการทุจริตที่มีการปรับตัวในหลายรูปแบบ
ศ.ดร. ภักดี โพธิศิริ ป.ป.ช. กล่าวว่า ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นในประเทศไทยทำให้ภาคเอกชน สูญเสียเม็ดเงินร้อยละ 20 คิดเป็นมูลค่าประมาณ 100,000 ล้านบาท ซึ่งต้องมีการเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น ด้วยการสร้างวัฒนธรรมต่อต้านการโกง และสร้างค่านิยมความซื่อสัตย์ สิ่งเหล่านี้ล้วนมุ่งให้ประเทศไทยมีภาพลักษณ์ดีขึ้น เพราะขณะนี้ ดัชนีฯ CDI ของประเทศไทยควรอยู่ในระดับที่สอบผ่านได้แล้ว
ทั้งนี้ การประชุมนานาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต ครั้งที่ 14 ภายใต้หัวข้อ “Restoring trust: global action for transparency” เป็นการคิดค้นมุมมองที่มีนวัตกรรมใหม่ เพื่อต่อต้านการทุจริต และเรียกคืนความเชื่อมั่นใน 5 ด้าน คือ 1.สันติภาพและความมั่นคง 2.ตลาดทรัพยากรธรรมชาติและพลังงาน 3.การจัดการสภาพภูมิอากาศที่ดี 4.การกระตุ้นให้เกิดธรรมาภิบาลในภาคธุรกิจ และ 5.เป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ