- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- “โฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์” เปิด 4 ปัจจัยที่ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำ
“โฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์” เปิด 4 ปัจจัยที่ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำ
ระบุ นโยบายภาครัฐในอดีตมีส่วนเพิ่มช่องว่างความเหลื่อมล้ำ โดยเฉพาะนโยบาย-มาตรการของรัฐจำนวนมากก่อให้เกิดสิทธิพิเศษ เปรียบเหมือนรัฐสร้างเค้กก้อนโตให้เหล่านายทุน-นักธุรกิจใหญ่ ตลอดจนกระบวนการคอร์รัปชั่นทางการเมือง
วันที่ 29 พฤศจิกายน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) จัดสัมมนาวิชาการประจำปี 2553 “การลดความเหลื่อมลํ้าและสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ”(Reducing Inequality and Creating Economic Opportunity) ณ ห้องบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ บี ชั้น 22 โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์์
นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานสภาสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย กล่าวเปิดการสัมมนาตอนหนึ่งว่า เศรษฐกิจไทยในระยะกว่าครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา เจริญรุดหน้าอย่างมาก ประเทศมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้น จำนวนคนยากจนลดลงมากกว่าแต่ก่อน แต่เราพบว่า สิ่งที่น่าห่วง ไม่ได้อยู่ที่เรื่องปัญหาความยากจนอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นกลับเป็นเรื่องปัญหาด้านคุณภาพการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ซึ่งอยู่ในระดับสูงใกล้เคียงกับประเทศในกลุ่มลาตินอเมริกา และเป็นสาเหตุหลักของความขัดแย้งทางสังคมและการเมือง จนไปสั่นคลอนระบอบประชาธิปไตยอยู่ในปัจจุบัน
นายโฆสิต กล่าวถึงปัจจัยพื้นฐานที่มีส่วนช่วยสะสมความเหลื่อมล้ำ มี 4 ประการ คือ 1.นโยบายภาครัฐในอดีตมีส่วนเพิ่มช่องว่างความเหลื่อมล้ำโดยเฉพาะนโยบายและมาตรการของรัฐจำนวนมากที่ก่อให้เกิดสิทธิพิเศษ เปรียบเหมือนรัฐสร้างเค้กก้อนโตให้เหล่านายทุนและนักธุรกิจใหญ่ ตลอดจนกระบวนการคอร์รัปชั่นทางการเมือง
“2. ความเจริญเติบโตในอดีตยังไม่สามารถก่อให้เกิดการจ้างงานที่มีคุณภาพในปริมาณที่มากพอ ทำให้ประเทศมีโครงสร้างแรงงาน ประกอบด้วยผู้ทำงานนอกระบบจำนวนมาก ในขณะที่การสร้างงานที่ใช้ความรู้และฝีมือ ซึ่งให้ค่าตอบแทนสูงพอที่จะมีชีวิตในฐานะคนชั้นกลาง กลับเพิ่มขึ้นในจำนวนที่น้อยมาก และเป็นเหตุหนึ่งทำให้มีจำนวนผู้เสียภาษีน้อยและฐานภาษีแคบ อีกทั้งโครงสร้างภาษียังมีการเก็บภาษีหรือลดหย่อน ยกเว้นภาษีที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งจะต้องได้รับการแก้ไข”
ประธานสภาทีดีอาร์ไอ กล่าวต่อว่า 3.โครงสร้างการพัฒนาเศรษฐกิจที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นว่า ความเจริญของเราในอดีตไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของการพัฒนาความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งเป็นรูปแบบการพัฒนาที่สามารถสร้างงานประเภทที่มีคนชั้นกลางเพิ่มขึ้น และประการสุดท้าย ประเทศไทยยังขาดระบบสวัสดิการพื้นฐานที่มีประสิทธิภาพ เช่น แรงงานไทยส่วนใหญ่ยังคงอยู่นอกระบบ ในขณะที่ประโยชน์จากรายจ่ายของรัฐยังไปไม่ถึงมือผู้ที่ยังช่วยเหลือตนเองไม่ได้ และผู้ที่สมควรได้รับสวัสดิการอย่างทั่วถึง
จากนั้น ดร. นิพนธ์ พัวพงศกร ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย และกรรมการสมัชชาปฏิรูป กล่าวถึงความเป็นมาและภาพรวมการสัมมนาในปีนี้ ว่า มีมูลเหตุสำคัญมาจากความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้น ซึ่งมาจากความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม ดังนั้นการลดความเหลื่อมล้ำและการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับคนฐานล่าง ที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ จึงเป็นวาระเร่งด่วนของการปฏิรูปประเทศไทยขณะนี้
"นโยบายสำคัญที่จะลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม คือ การสร้างระบบสวัสดิการพื้นฐานที่เหมาะสมกับอัตภาพของประเทศและมีวินัยทางการคลัง แต่การกระจายรายได้อย่างเดียวไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน การปฏิรูปจำเป็นต้องมีกลยุทธ์การพัฒนาเศรษฐกิจสองด้าน ทั้งในระดับมหภาค ที่ควรเน้นการพัฒนาที่เพิ่มพูนความมั่งคั่งของประเทศ โดยนำประโยชน์ที่ได้จากการเติบโตกระจายสู่ประชาชนส่วนใหญ่ที่เป็นคนฐานล่างมากที่สุด ขณะเดียวกับระดับจุลภาค นโยบายการพัฒนาควรจะเป็นการสร้างโอกาสด้านเศรษฐกิจให้กับคนฐานล่างเพื่อให้คนส่วนใหญ่ของประเทศอยู่ดีกินดี สามารถยกระดับขึ้นเป็นคนชั้นกลางได้ในที่สุด"
ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจหัวข้อในการสัมมนาในปีนี้นั้น ประธานทีดีอาร์ไอ กล่าวว่า เน้นสาเหตุของความเหลื่อมล้ำ และแนวทางแก้ไข โดยแนวทางแรก คือ การจัดสวัสดิการทั่วหน้าอย่างเท่าเทียมและยั่งยืน แนวทางที่สองเรื่องการลดปัญหาการขาดโอกาสให้กับคนฐานล่าง และแนวทางที่สาม แนวนโยบายในการพัฒนาเศรษฐกิจใหม่
จากนั้นในช่วงเช้ามีการนำเสนอผลการศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการลดความเหลื่อมล้ำและสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ จากนักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิ อาทิ ดร. อัมมาร สยามวาลา นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย นำเสนอผลการศึกษา ใน หัวข้อ “แสวงหาแนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจแบบทั่วถึง” ดร.วรวรรณ ชาญด้วยวิทย์ นำเสนอบทความเรื่อง การสร้างระบบสวัสดิการพื้นฐาน:ค่าใช้จ่ายระบบสวัสดิการสังคมที่คนไทยต้องการ ต่อด้วย ดร.สมชัย จิตสุชน นำเสนอบทความ เรื่อง การสร้างระบบสวัสดิการพื้นฐาน:การจัดหาและจัดสรรทรัพยากรทางการเงินเพื่อรองรับระบบสวัสดิการ เป็นต้น