- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- อุปสรรคใหญ่ขวาง PPP ดร.นิพนธ์ดันยกร่างกม.ร่วมทุนฉบับใหม่
อุปสรรคใหญ่ขวาง PPP ดร.นิพนธ์ดันยกร่างกม.ร่วมทุนฉบับใหม่
หวังให้เอกชนมั่นใจแห่ร่วมงานกับภาครัฐมากขึ้น ปธ.ทีดีอาร์ไอ ยันวันนี้ไทยลงทุนโครงสร้างพื้นฐานน้อยกว่าเวียดนาม อีก 5-10 ปีข้างหน้า ไม่ต้องพูดถึง แบกภาระการคลังอื้อ ไม่รู้จะหาเงินมาจากไหน เชื่อ PPP ทำให้ไทยมีเม็ดเงินลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ศก.ขยายตัว และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
วันที่ 3 ธันวาคม สมาคมนักศึกษาสถาบันวิทยาการตลาดทุน (สวตท.) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จัดกิจกรรมวิชาการครั้งที่ 4 ในหัวข้อ “ข้อเสนอการปฏิรูปกรอบนโยบายและกฎหมายที่เกี่ยวกับการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน (Proposal to Reform Thailand’s Public-Private Partnership (PPP) Framework)” ณ ห้อง Auditorium ชั้น 4 อาคารสถาบันวิทยาการตลาดทุน (อาคาร 2) โครงการนอร์ธปาร์ค ถ.วิภาวดีรังสิต โดยดร. นิพนธ์ พัวพงศกร ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ในฐานะนักศึกษาสถาบันวิทยาการตลาดทุนรุ่นที่ 10 นำเสนอหลักการและแนวทางในการให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ
ดร.นิพนธ์ กล่าวว่า หลังจากวิกฤตเศรษฐกิจ มีข้อมูลจากธนาคารโลกระบุว่า ไทยมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐในช่วงปี 2542-2552 ต่ำมาก เมื่อเทียบกับ GDP และยิ่งเมื่อไปเทียบกับประเทศต่างๆ นั้น ไทยมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานแค่ 4-7% ของ GDP เท่ากับลาว มองโกเลีย ขณะที่จีนและเวียดนามมีการลงทุนด้านนี้เกิน 7%
“ใน 5-10 ปีข้างหน้า รัฐบาลมีเงินลงทุนโครงสร้างพื้นฐานน้อยมาก ด้วยภาระหนี้เงินกู้ ภาระด้านสวัสดิการ อีกทั้งการที่ไม่สามารถแปรรูปรัฐวิสาหกิจได้” ประธานทีดีอาร์ไอ กล่าว และว่า 3 เรื่องใหญ่แสดงให้เห็นว่า เราขาดดุลแน่นอนในอีก 2 ปี (2554-2555) ประมาณ 4-5 % ของ GDP เป็นภาระการคลังที่น่าเป็นห่วง นี่คือเหตุผลจะหาเงินมาจากไหน ดังนั้น PPP จะช่วยให้ไทยมีเม็ดเงินลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัว และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้
สำหรับพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงาน หรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ.2535 ดร.นิพนธ์ กล่าวว่า พ.ร.บ.ร่วมทุน ปี 2535 เป็นกฎหมาย "ขาเดียว" เจตนาป้องกันการทุจริตเพียงอย่างเดียว จึงกลายเป็นอุปสรรคต่อการลงทุน อีกทั้งความความไม่ชัดเจนของนิยาม ขอบเขตการดำเนินการ ส่งผลตรงข้าม ทำให้มีโครงการบางประเทศหลบเลี่ยงกฎหมายได้ เช่น Turn Key อีกทั้งนิยามกิจการของรัฐครอบคลุมทรัพยากรธรรมชาติและทรัพย์สินของรัฐ ทำให้ 3G อาจเข้าข่ายร่วมทุนได้ เป็นต้น
“การเขียนกฎหมายแบบนี้ตลกจริงๆ ไปได้สองขา และมากหมอมากความ มี 12 หน่วยงานเข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งยังขาดหน่วยงานกลางที่มีหน้าที่รับผิดชอบ พ.ร.บ.ร่วมทุน”
ประธานทีดีอาร์ไอ กล่าวถึงผลเสียของ พ.ร.บ.ร่วมทุน ปี 2535 ว่า การดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายใช้เวลานานมาก ขอความเห็นครม.2 ครั้ง ขั้นตอนการจัดทำโครงการและคัดเลือกโครงการใช้เวลาเฉลี่ย 48 เดือนต่อโครงการ และมีความพยายามหลีกเลี่ยงกฎหมายจำนวนมาก จึงมีข้อเสนอว่า ควรยกร่างกฎหมายใหม่ โดยไทยสามารถเรียนรู้ประสบการณ์จากต่างประเทศที่ใช้กฎหมาย PPP มาเกือบ 20 ปี
“ขณะนี้มีทั่วโลก และมีผู้เชี่ยวชาญที่สามารถเขียนกฎหมายใหม่ได้ดี การยกเลิกกฎหมายตัวนี้และเขียนกฎหมายใหม่สะท้อนว่า รัฐมีแนวคิดอยากจะเปลี่ยนจากควบคุม เป็นสนับสนุนเอกชนเข้ามาร่วมทุน เชื่อว่า จะสามารถสร้างความมั่นใจให้กับภาคเอกชนได้”
นักศึกษาสถาบันวิทยาการตลาดทุนรุ่นที่ 10 กล่าวถึงหลักกฎหมาย PPP ในต่างประเทศ ใน 2 ทศวรรษที่ผ่านมา รัฐบาลทั่วโลกให้เอกชนมาลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ตั้งแต่ประเทศพัฒนาแล้วไปยังประเทศกำลังพัฒนา เช่น อังกฤษ ออสเตรเลีย จีน สิงคโปร์ ฮ่องกง บราซิล ชิลี โดยเฉพาะออสเตรเลีย ชิลี และเกาหลีใต้ประสบความสำเร็จสูงในโครงการร่วมทุน เกาหลีใต้ออกแบบกฎหมาย ทำมา 10 กว่าปีแก้ไขกฎหมาย 10 กว่าครั้ง ทำไปแก้ไป จนเกิดเป็นกระบวนการเรียนรู้ ประเทศไทยจะได้เปรียบหากคิดจะทำในช่วงนี้
หลักการของกฎหมายฉบับใหม่ ดร.นิพนธ์ กล่าวว่า เดิมเป็นกฎหมายมีขาเดียว เพื่อป้องการทุจริต กฎหมายฉบับใหม่ขอให้มี 2 ขา คือ เพิ่มประสิทธิภาพการลงทุนของประเทศ และรักษาผลประโยชน์ทุกฝ่ายให้สมดุลกัน ประโยชน์ของภาคเอกชน ประชาชนผู้เสียภาษี และประชาชนใช้บริการต้องได้ประโยชน์
“สิ่งสำคัญ คือการจัดทำแผนแม่บท PPP ทำอย่างไรจะสร้างประโยชน์คุ้มค่าจากการลงทุนให้สังคมและภาคเอกชน และสนับสนุนให้มีการแข่งขันระหว่างนักลงทุนและมีนวัตกรรมจากการลงทุน เพราะข้อจำกัดภาครัฐ คือ คิดไม่ออก ดังนั้นต้องให้เอกชนเข้ามามีบทบาทเสนอโครงการแปลกๆใหม่ๆ มีประโยชน์ ต้องมีแนวคิด Unsolicited bids”
นักศึกษาสถาบันวิทยาการตลาดทุนรุ่นที่ 10 กล่าวด้วยว่า ส่วนสาระสำคัญ แผนแม่บท PPP ควรมีการทบทวนแผนแม่บททุก 3 ปี หรือหากฝ่ายการเมืองเข้ามาและขอแก้ไข ควรยอม เพราะเกี่ยวข้องกับนโยบาย อย่างไรก็ตาม การผลักดันให้มีกฎหมายร่วมทุนฉบับใหม่ ปกติต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 1-3 ปี ขณะนี้ใน 3 ปีข้างหน้า รัฐจะมีเงินทุนโครงสร้างพื้นฐานน้อยมาก ดังนั้น มีข้อเสนอจากธนาคารโลก ให้กระทรวงการคลังเริ่มโครงการทดลอง 3-4 โครงการ ที่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท จะได้ไม่ติดกฎหมาย PPP โดยตัวช่วยที่สำคัญ ให้ธนาคารโลกมาเป็น “หุ้นส่วน” ในการให้คำปรึกษา พร้อมกันนี้ต้องได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายการเมืองด้วย