- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- เดินหน้าเปิดแผนปฏิบัติการปฏิรูป เน้นหนักดูแลการศึกษา ‘เด็ก-เยาวชน’
เดินหน้าเปิดแผนปฏิบัติการปฏิรูป เน้นหนักดูแลการศึกษา ‘เด็ก-เยาวชน’
นายกรัฐมนตรีขอความร่วมมือประชาชนร่วมปฏิรูปประเทศไทย ประกาศเร่งเดินหน้าปฏิรูปประเทศไทยใน 4 เรื่องหลัก ๆ ทั้งเศรษฐกิจ ขยายสวัสดิการสังคม การศึกษา กระบวนการยุติธรรม
วันที่ 1 มกราคม เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวผ่านสถานีวิทยุโทรทัศน์ทุกช่อง ถึงแผนปฏิบัติการการปฏิรูปประเทศไทย ในส่วนของรัฐบาลว่า เดินหน้าใน 4 เรื่องหลัก ๆ 1. ประเด็นทางด้านเศรษฐกิจ ที่จำเป็นจะต้องมีการบริหารเศรษฐกิจ มีการบริหารทรัพยากรให้เกิดความเป็นธรรม 2.การขยายสวัสดิการสังคมให้เกิดความมั่นคงในชีวิตสำหรับทุกกลุ่ม 3.ส่งเสริมในเรื่องของการศึกษา และสุดท้ายในเรื่องของกระบวนการยุติธรรม ความปลอดภัย เรื่องของความซื่อสัตย์สุจริต ธรรมาภิบาล
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ภายใต้แผนปฏิรูปประเทศไทย สิ่งที่ยึดสำคัญที่สุดคือประชาชนทุกคน ทำอย่างไรให้มีชีวิตที่ดี ตั้งแต่ก่อนเกิดไปจนถึงการเข้าสู่วัยเด็ก การเป็นเยาวชน การเข้าสู่วัยทำงาน และการเป็นสมาชิกของสังคม หรือของประเทศไทย ในฐานะผู้ใหญ่
“ปัญหาที่เกิดขึ้นในเรื่องของความเหลื่อมล้ำนั้น เกิดขึ้นตั้งแต่แรกเกิด ฉะนั้น แนวทางที่เราจะทำในเรื่องของการปฏิรูปตรงนี้ จะมีการดูแลพี่น้องประชาชนตั้งแต่แรกเกิด หมายถึงการจัดทำโครงการรณรงค์ในเรื่องนมแม่ รณรงค์ในเรื่องของการให้อาหารที่ถูกต้อง และก็มีสวัสดิการอาหารเสริมสำหรับแม่ ตั้งแต่ตั้งครรภ์ไปจนถึงเด็กแรกคลอด จนถึงอายุ 2 ปี มีเรื่องของกระบวนการของการส่งเสริมให้คำแนะนำ ให้คำปรึกษาเป็นคลีนิกสำหรับในเรื่องของการเลี้ยงดู เพื่อที่จะให้เด็กไทยทุกคนเติบโตมาอย่างมีคุณภาพ”
พัฒนาศูนย์เด็กเล็ก-ดูแลเด็กในสถานที่ทำงาน
ในเรื่องของการศึกษา นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กปัจจุบันก็ไม่ทั่วถึง จะเห็นได้ว่าประมาณ 7,000 กว่าตำบลที่มีอยู่ในประเทศไทย มีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ยังไม่มีศูนย์พัฒนาเด็กเล็กอยู่ 481 แห่ง นี่คือ 481 นั้นในแผนปฏิรูปจะดำเนินการให้มีการสร้างศูนย์พัฒนาเด็กเล็กให้ครบ ทั่วถึง และจะต้องมีมาตรฐานด้วย รวมทั้งการดูแลเด็กเล็กในสถานที่ทำงาน ซึ่งในแผนปฏิรูปจะได้มีการเชิญชวนจูงใจให้ภาคเอกชนสามารถที่จะมีการสร้าง หรือมีบริการในเรื่องของการพัฒนาดูแลเด็กเล็กได้ในสถานประกอบการ หรือในสถานที่ทำงาน
ขณะที่เด็กบางกลุ่ม ซึ่งยังมีปัญหามากกว่านั้น เช่น เด็กที่อยู่ในสถานที่ก่อสร้างต่าง ๆ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จะเริ่มต้นจากโครงการของรัฐที่จะดูแลว่าจะต้องมีผู้ให้บริการดูแลเด็กเล็กในสถานที่ก่อสร้างเป็นการนำร่องไปสู่การที่จะดูแลเด็กเล็กได้อย่างทั่วถึง
“แผนปฏิรูปเมื่อเด็กเหล่านี้เติบโตขึ้นมาเข้าสู่ระบบโรงเรียน ก็จะไปดูแลในเรื่องของการศึกษาที่ต้องดำเนินการอย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ ปัจจุบันเรามีเด็กที่อยู่นอกระบบการศึกษาถึง 1.7 ล้านคน ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ และเด็กเหล่านี้เมื่อขาดโอกาสในเรื่องของการศึกษาขั้นพื้นฐาน เติบโตขึ้นมาก็จะมีปัญหาในเรื่องของการมีงานทำ เติบโตขึ้นมาก็จะขาดความรู้ อยู่ในวัฏจักรของความยากจน”
ตั้งเป้าเกิดร.ร.เรียนร่วมเด็กพิการ-ปกติ จว.ละ 1 แห่ง
นอกจากเรื่องของการดูแลภาพรวมของเด็กที่อยู่นอกระบบ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยังได้เจาะลึกลงไปดูว่า เด็กกลุ่มใดบ้างซึ่งเป็นเด็กซึ่งไม่สามารถอยู่ในระบบโรงเรียนได้ ก็เริ่มได้ตั้งแต่กลุ่มเป้าหมายกลุ่มแรกคือเด็กพิการ ปัจจุบันปรากฏว่าเด็กพิการ สัดส่วนเกือบครึ่ง ยังไม่มีโอกาสเข้ารับการศึกษาในระบบการศึกษา การดำเนินการของแผนการปฏิรูปจะมีการดำเนินการดูแลให้การศึกษาสำหรับเด็กพิการนั้นมีความทั่วถึงมากยิ่งขึ้น และให้มีโอกาสได้เรียนร่วมกับเด็กปกติ
“แผนปฏิรูปกำหนดเอาไว้ชัดเจน จะมีการดำเนินการจัดให้มีโรงเรียนสำหรับการเรียนร่วมระหว่างเด็กพิการกับเด็กปกติ จังหวัดละ 1 แห่ง คือทุกจังหวัดจะต้องมีอย่างน้อย 1 โรง ซึ่งสามารถที่จะให้บริการทางด้านนี้ แล้วจะมีการเชื่อมต่อระบบการเรียนรู้ของเด็กพิการเข้ากับการประกอบอาชีพด้วย”
กรณีเด็กที่ออกจากโรงเรียนกลางคัน นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เป็นปัญหาใหญ่มาก ปัจจุบันมีเด็กที่ออกกลางคันเป็นจำนวนมาก กลุ่มหนึ่งจะเป็นเด็กที่ถูกดำเนินคดี เด็กอายุระหว่าง 10 – 18 ปี ที่ออกกลางคันนั้น มีสูงถึงปีละ 46,000 ราย ในจำนวนนี้ 2 ใน 3 ออกกลางคันแล้วไม่มีโอกาสได้รับการศึกษาต่อ ในขณะที่มีเพียง 1 ใน 3 เท่านั้นที่จะสามารถอยู่ในระบบการศึกษาได้ นอกจากนั้นยังมีเด็กที่ถูกผลักออกจากระบบ เพราะเรียนไม่ดี เป็นเด็กมีปัญหา ในที่สุดเด็กเหล่านี้ก็จะกลายเป็นปัญหาให้กับสังคม
“เด็กทุกกลุ่มที่ได้กล่าวมาจะมีทางเลือก ถ้าเขาไม่สามารถที่จะกลับไปเรียนรู้ในห้องเรียนแบบมาตรฐานแบบนี้ได้ อย่างน้อยที่สุดเขาก็จะได้รับโอกาสในการมีการศึกษาทางเลือก มีการพัฒนาในเรื่องของทักษะอาชีพ เพื่อที่จะให้เขาสามารถที่จะสร้างโอกาสให้กับตัวเองมีงานทำ มีรายได้ต่อไปในอนาคต” นายอภิสิทธิ์ กล่าว และว่า สิ่งที่จะทำควบคู่กันไป คือสร้างแรงจูงใจให้ภาคธุรกิจเอกชนเข้ามาดูแลตรงนี้ ขณะที่รัฐบาลก็จะดูแลในมาตรการในเรื่องของการลดหย่อนภาษี
เริ่มต้นดูคุณภาพร.ร.ขนาดเล็ก
ทั้งนี้ แนวทางการปฏิรูป จะเข้าไปดูในเรื่องของคุณภาพโรงเรียนขนาดเล็ก ปัจจุบันประเมินกันว่า มีถึง 14,000 โรงทั่วประเทศ ในแผนปฏิบัติการปฏิรูปครั้งนี้ เริ่มต้นจากโรงเรียนขนาดเล็กนั้น จะมีการจัดทำแผนที่ทั้งหมด และใช้โรงเรียนที่เป็นโรงเรียนดีประจำตำบลเป็นแม่ข่าย ให้มีการเชื่อมโยงโรงเรียนเป็นเครือข่าย หรือเข้ามายุบรวมกันเป็นโรงเรียน เพื่อตอบสนองความต้องการในด้านคุณภาพ
ในเรื่องของครู นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในแผนการปฏิรูป คือ ทำโครงการในเรื่องของคืนครูสอนดีให้กับนักเรียน ให้มีการคัดครูที่เป็นครูที่ทุ่มเทในเรื่องของการเรียนการสอนจริง ๆ ให้เวลาเป็นที่ยอมรับว่าเป็นบุคคลคุณภาพในเรื่องของการสอน ตรงนี้ก็จะมีการคัดเลือกมาจากพื้นที่ แล้วจะมีรางวัล แรงจูงใจ ให้ครูเหล่านี้สามารถทุ่มเทได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องไปกังวลติดขัดกับเรื่องของการที่จะต้องไปทำอย่างอื่น เพื่อที่จะสามารถเลื่อนไหลหรือมีความก้าวหน้าในทางวิชาชีพได้ พร้อม ๆ กันไปจะให้ครูเหล่านี้เป็นคนที่สามารถดึงให้ครูใหม่ และครูคนอื่น ๆ นั้นเข้ามาอยู่ในเรื่องของการเรียนการสอนที่มีคุณภาพได้อย่างเต็มที่
ให้การศึกษา-เพิ่มทักษะแรงงาน
การแก้ปัญหาแรงงานนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า แรงงานกว่าครึ่งจบระดับการศึกษาเพียงแค่ประถมศึกษา หรือต่ำกว่า เพราะฉะนั้น เรายังมีประชากรที่ต้องการการศึกษาเพิ่มเติมประมาณ 8 ล้านคน แผนปฏิรูปจะได้มีการดำเนินการในเรื่องของการที่จะจัดหลักสูตร เพื่อเพิ่มทักษะทางด้านอาชีพ สอดคล้องกับความต้องการ ที่จะเสริมให้มีโอกาสและรายได้ที่ดีขึ้น
“โดยเฉพาะแรงงานนอกระบบ ที่มีความไม่แน่นอนเรื่องของรายได้ เรื่องของการขาดสวัสดิการ ความมั่นคง ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน ต้องไปกู้เงินนอกระบบ เป็นหนี้นอกระบบ ไปจนถึงการประกอบอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้าแม่ขาย ผู้ทำงานอิสระ คนทำงานกลางคืน ไปจนถึงคนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง คนขับแท็กซี่ เป็นต้น การดำเนินการของแผนปฏิรูป จะใช้กระบวนการพิเศษเข้าไปดูแล โดยวันที่ 9 มกราคมนี้ จะได้มีการแถลงละเอียดถึงแนวทางของการแก้ไขปัญหาในส่วนนี้”
เรื่องของที่อยู่อาศัยและที่ทำกิน นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า แผนของการปฏิรูปได้ไปดูสภาพปัญหาตั้งแต่ต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งไปดูในเรื่องของพื้นที่การเกษตร พบความเป็นจริงว่า ขณะนี้ทั่วประเทศ พื้นที่การเกษตรมีอยู่ประมาณร้อยละ 38 เท่านั้น ของพื้นที่ทั่วประเทศ ฉะนั้น แนวทางของรัฐบาลในการทำงานทางด้านนี้ คือจะมีการดำเนินการปรับระบบกลไกในการบริการจัดการเรื่องที่ดินทั้งหมดของประเทศ เปิดโอกาสให้พี่น้องประชาชนมีส่วนร่วม
แนวคิดอันหนึ่งที่จะผลักดันคือเรื่องของเขตเศรษฐกิจพิเศษทางด้านการเกษตร ตรงนี้จะเป็นการดูแลว่าพื้นที่ของประเทศไทยที่มีความอุดมสมบูรณ์นั้น จะได้ใช้ประโยชน์เพื่อการเกษตรอย่างแท้จริง แล้วจะเป็นรากฐานสำคัญในเรื่องของความมั่นคงทางอาหาร สำหรับแนวคิดของการแก้ไขปัญหาในเรื่องของที่อยู่อาศัย ที่ดูแล้วจะได้ผลที่สุด ก็คือเรื่องของการใช้โครงการบ้านมั่นคง ซึ่งปัจจุบันนี้มีอยู่ 862 โครงการ แต่ว่าเป้าหมายที่จะทำต่อไปจะมีจำนวนมากมายกว่านี้ คือเราจะทำบ้านมั่นคงในชนบท เป้าหมายครอบคลุม 500 ตำบล 50,000 กว่าครัวเรือน เพื่อสร้างหลักประกันความมั่นคงให้แก่พี่น้องประชาชนในวัยทำงาน
มุ่งยุติธรรมชุมชน ลดข้อพิพาทมากเกิน
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ในแผนของการปฏิรูป จะมีศูนย์อำนวยการในเรื่องของการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม และยาเสพติดระดับชาติ เพื่อให้เกิดการบูรณาการการทำงานของทุกหน่วยงาน ที่สำคัญที่สุด คือการปฏิรูปกระบวนการที่เกี่ยวข้อง
“สิ่งที่เราต้องการจะเห็นจากนี้ไปก็คือการทำงานของตำรวจที่มีสถานีตำรวจใกล้ชิดกับพี่น้องประชาชน อยู่กับประชาชนอย่างแท้จริง เป็นส่วนหนึ่งของแผนการปฏิรูปตำรวจ มีแนวคิดดึงเอาอาสาจากภาคส่วนต่าง ๆ มาเป็นสายตรวจบ้าง มาช่วยดูแลบ้าง”
กรณีปัญหาของการขึ้นโรงขึ้นศาล การมีข้อพิพาทมากเกินไป ที่สามารถไกล่เกลี่ยเพื่อไม่ต้องเข้าสู่กระบวนการศาลนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า แนวคิดของแผนการปฏิรูป จะใช้กระบวนการที่เรียกว่า ยุติธรรมชุมชน ปัจจุบันก็มีอยู่แล้วครอบคลุมอยู่ทุกจังหวัด แต่ว่าการดำเนินการนั้น ยังทำได้น้อย เป้าหมายของการปฏิรูปคือการลดข้อพิพาทในชุมชนให้ได้กว่า 3 ใน 4 เพื่อที่จะผ่านเครือข่ายยุติธรรมชุมชน นอกจากนั้นจะทำระบบในเรื่องของการร้องเรียน ในเรื่องของการให้คำปรึกษาทางด้านกฎหมายต่าง ๆ ให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถที่จะเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม และได้รับความเป็นธรรมอย่างแท้จริง
ส่วนปัญหาเรื่องของการทุจริตคอร์รัปชั่น รัฐบาล กำลังดึงทุกภาคส่วนเข้ามา ในระดับระหว่างประเทศ กำลังเร่งรัดการประกาศให้สัตยาบัน อนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มาตรการที่จะเป็นรูปธรรมที่จะออกมายังมีอีกหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการที่จะต้องมีการเปิดเผยข้อมูลให้เกิดความโปร่งใสมากยิ่งขึ้น จะเป็นการปรับปรุงในเรื่องของกฎหมาย ข้อมูลข่าวสาร ไปจนถึงการที่เราเข้าไปดูปัญหาของการจัดซื้อจัดจ้างในโครงการของภาครัฐอย่างละเอียด ตั้งแต่ขั้นตอนของการกำหนดราคากลาง ราคามาตรฐาน ตั้งแต่เรื่องของการที่จะดูแลว่ากระบวนการประมูลนั้น มีความโปร่งใสอย่างแท้จริง ไปจนถึงเรื่องตั้งแต่การล็อกสเปค การกำหนดเรื่องของการจ้างปรึกษาในโครงการขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นที่มาของการสูญเสียงบประมาณเป็นจำนวนมาก ตั้งเป้าเอาไว้แล้วว่าบางเรื่อง 3 เดือนแรกจะมีกติกาที่สามารถจะเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนต่อไปในอนาคต เพื่อที่จะช่วยลดปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งถือเป็นต้นทุนของสังคม
สุดท้ายการปฏิรูปสื่อ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า จะมีการดำเนินการเรื่องการออกกฎหมายเรื่องกองทุนสื่อสร้างสรรค์ การคุ้มครองวิชาชีพสื่อ เพื่อให้สื่อมวลชนนั้นเป็นสื่อที่มาตอบสนองเป้าหมายของประเทศชาติ บ้านเมือง และส่วนรวมอย่างแท้จริง และนอกจากนั้นงานของคณะกรรมการชุดอื่น ๆ ซึ่งทำงานทางด้านการปฏิรูปการเมือง หรือคณะกรรมการอิสระที่ไปทำสมัชชาการปฏิรูปและปฏิรูป ก็จะมีมาตรการต่าง ๆ ออกมา แต่ว่าสำหรับในส่วนของรัฐบาล แผนปฏิบัติการที่จะเดินหน้าทั้ง 4 ด้าน นี้