- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- นพ.ประเวศเสนอดึงมหาวิทยาลัย เป็นเอเย่นต์ด้านยุทธศาสตร์ให้ก.วิทย์
นพ.ประเวศเสนอดึงมหาวิทยาลัย เป็นเอเย่นต์ด้านยุทธศาสตร์ให้ก.วิทย์
พร้อมหนุนสวทน.จับมือภาคอุตสาหกรรม สร้างความเข้มแข็งด้านวิทยาศาสตร์ ขณะที่รองประธาน สอท.ยันวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรม เกี่ยวข้องกับเรื่องปากท้อง มั่นใจสร้างรายได้ให้คนรากหญ้าได้จริง
วันที่ 10 มกราคม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.) จัดการประชุมสมัชชาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการพัฒนา ครั้งที่ 9 “ประเทศไทยก้าวไกล ก้าวทัน ก้าวหน้า” และการแสดงผลงานด้านการพัฒนา วทน. “Green Carpet: Beyond STI” ณ ห้องแกรนด์ฮอลล์ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระดับชาติระหว่างผู้มีส่วนร่วมในกระบวนการ ค้นคว้าพัฒนาและใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) โดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี ประธานกรรมการสมัชชาปฏิรูป และนายเชิญพร เต็งอำนวย รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เสวนาเรื่อง “วทน. กับการปฏิรูปปะเทศไทย”
ศ.นพ.ประเวศ กล่าวถึงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นกระบวนการทางปัญญา ที่ใช้หลักฐานและเหตุผลในการเข้าถึงความจริง ซึ่งมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสังคมไทยจากสังคมใช้อำนาจไปสู่สังคมใช้ปัญญา เพราะขณะนี้ประเทศไทยเป็นประเทศเครื่องหลุด ไม่สามารถเดินต่อไปได้ ฉะนั้น จึงต้องมีการปฏิรูป จัดรูปแบบประเทศเสียใหม่ โดยสร้างฐานของประเทศ นั่นคือ ชุมชนท้องถิ่นให้มีความมั่นคง โดยเปลี่ยนจากการเอากรมเป็นตัวตั้ง เป็นเอาพื้นที่เป็นตัวตั้ง หรือที่เรียกว่า ‘เทศาภิวัฒน์’ เพื่อทำให้เกิดการบูรณการ ทั้งด้านทรัพยากรและด้านต่างๆ
ศ.นพ.ประเวศ กล่าวว่า โลกแบ่งออกเป็น 2 โลก คือ โลกข้างบน หรือโลกมายา เป็นเรื่องเกี่ยวกับกฎหมาย กฎระเบียบ อำนาจ เงิน รูปแบบ รวมทั้งหลักคิดที่ไม่ได้อยู่บนฐานความจริง โดยพบว่า คนที่อยู่ในโลกมายาส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มคนที่มีอำนาจต่อความเป็นไปของสังคม อาทิ นักการเมือง ข้าราชการ นักวิชาการ นักธุรกิจ และสื่อมวลชน ขณะที่โลกข้างล่าง เป็นความจริงของชีวิตและการอยู่รวมกันระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ และมนุษย์กับธรรมชาติ ซึ่งพบได้ในครอบครัว ในชุมชน
“ครอบครัว ไม่ได้คิดในเรื่องกำไร ใครเก่งกว่าใคร รวมทั้งจะไม่มีการตัดคนที่กระทำผิดออกจากครอบครัว ส่วนชุมชนก็คิดถึงเรื่องการอยู่รวมกันมาตั้งแต่ 10,000 ปีที่แล้ว ต่างจากส่วนอื่นในสังคมอย่างชัดเจน แต่ขณะนี้พบว่า อำนาจรัฐ เงิน และความรู้ ทำให้ชุมชนอยู่ในสภาวะแตกกระจาย กลายเป็นปัญหาใหญ่ของโลก ปัญหาใหญ่ของสังคม เนื่องจากไม่ได้เอาการอยู่ร่วมกันเป็นตัวตั้ง” ศ.นพ.ประเวศ กล่าว และว่า การเอาพื้นที่เป็นตัวตั้ง คำนึงถึงชีวิต และการอยู่รวมกัน จะทำให้เกิดสัมมาชีพเต็มพื้นที่ ไม่เบียดเบียนตนเอง ผู้อื่น สิ่งแวดล้อม ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะครอบคลุม ทั้งมิติด้านเศรษฐกิจ จิตใจ สังคม สิ่งแวดล้อม และศีลธรรม
ประธานกรรมการสมัชชาปฏิรูป กล่าวถึงการจัดทำแผนของ วทน. ว่า เป็นเรื่องดี แต่การทำแผนฯอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ ต้องกำหนดยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน ดูว่า จุดคานงัดอยู่ตรงไหน และไปที่จุดนั้น อาทิ กระทรวงวิทยาศาสตร์ อาจจะร่วมมือกับมหาวิทยาลัย ซึ่งมีกว่า 100 แห่งทั่วประเทศ เพื่อเป็นเอเย่นต์ด้านยุทธศาสตร์ให้ ขณะที่สถาบันวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี จะต้องทำงานร่วมกับภาคอุตสาหกรรม รวมทั้งสร้างความเข้มแข็งของวิทยาศาสตร์พื้นฐาน
“การเสนอแผนให้กับผู้มีอำนาจ หรือรัฐบาล บางครั้งแม้คณะรัฐมนตรีจะเห็นชอบ แต่ก็ไม่มีน้ำยาที่จะสานต่อ ฉะนั้น จะต้องมีการพัฒนานโยบาย โดยนำผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องมาเรียนรู้ร่วมกัน ตีประเด็นถึงขั้นที่สามารถนำไปปฏิบัติจริงได้ ไม่ใช่เพียงแต่เสนอแผนเท่านั้น”
ส่วนนายเชิญพร กล่าวถึงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เกี่ยวข้องกับเรื่องปากท้อง สามารถสร้างรายได้ให้กับประชาชนระดับรากหญ้า เช่น การส่งเสริมคุณภาพพันธุ์พืช ทำให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นก็จริง แต่ผลผลิตที่ล้นตลาด ส่งผลให้รายได้เพิ่มขึ้นจริงหรือไม่ ฉะนั้น การใช้ประโยชน์จาก วทน. จะต้องเป็นไปอย่างบูรณาการ ดำเนินงานอย่างต่อเนื่องยั่งยืน และเกิดประโยชน์สูงสุด
“การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดเวลา ทำให้ประเทศไทยตามชาติอื่นไม่ทัน ไม่ว่าจะญี่ปุ่น เกาหลี หรือกระทั่งเวียดนาม จึงจำเป็นต้องแก้ไขและสร้างระบบของประเทศให้มีความเข็มแข็งมากขึ้น”