- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- เปิด 3 มุมมองนักปฏิรูป ชี้ทางออกสร้างสังคมฐานความรู้
เปิด 3 มุมมองนักปฏิรูป ชี้ทางออกสร้างสังคมฐานความรู้
ดร.กฤษณพงศ์ ฉะปัญหาการศึกษาไทยเกิดทุกวัย เริ่มตั้งแต่ปฐม “โง่ตั้งแต่ยังไม่เข้าเรียน” เด็กขาดการดูแล วัยเรียนรู้ เรียนพื้นฐานมาก แต่กลับไม่ฉลาดใช้ชีวิต ด้านดร.นิพนธ์ ชี้จุดอ่อนสังคมไทยขาดความรู้ด้านวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ การจัดการ ฯลฯ ส่วนนพ.วิชัย ย้ำชัดล้างไม่ออก ไสยศาสตร์-โหราศาสตร์ครอบงำความคิดคนไทยอยู่
วันที่ 11 มกราคม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.) จัดการประชุมสมัชชาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการพัฒนา ครั้งที่ 9 “ประเทศไทยก้าวไกล ก้าวทัน ก้าวหน้า” และการแสดงผลงานด้านการพัฒนา วทน. “Green Carpet: Beyond STI” ณ ห้องแกรนด์ฮอลล์ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา เป็นวันที่สอง โดย ดร.กฤษณพงศ์ กีรติกร กรรมการปฏิรูป นพ.วิชัย โชควิวัฒน์ กรรมการปฏิรูปและกรรมการสมัชชาปฏิรูป ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร กรรมการสมัชชาปฏิรูป ในฐานะประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เสวนาเรื่อง “การปฏิรูปประเทศไทยสู่สังคมฐานความรู้และนวัตกรรม”
เปรียบการศึกษาวิ่งผลัด 3 x 100
ดร.กฤษณพงศ์ กล่าวถึงสังคมฐานความรู้และนวัตกรรม จำเป็นต้องเกิดจากคนและระบบที่มีคุณภาพ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับการศึกษาและการเรียนรู้ต่อเนื่องตลอดชีวิต แต่กลับพบว่า ปัญหาการศึกษาในบ้านเราเกิดขึ้นในทุกวัย เริ่มตั้งแต่ปฐมวัย “โง่ตั้งแต่ยังไม่เข้าเรียน” เนื่องจากเด็กเล็กขาดการดูแล ขณะที่วัยเรียนรู้พื้นฐาน เรียนมาก แต่ไม่ฉลาดในการใช้ชีวิต ขาดทักษะชีวิต จะเห็นได้จากจำนวนแม่วัยใสที่เพิ่มขึ้น
“ส่วนวัยเตรียมทำงาน พบว่าเรียนมาก แต่ได้ใช้ประโยชน์น้อย ซึ่งผลพวงของการศึกษา ทำให้วัยทำงาน กลายเป็นแรงงานไร้ฝีมือจำนวนมาก ฉะนั้น การศึกษาในลักษณะการวิ่งผลัด 3 x 100 ตามด้วยการวิ่งมาราธอนหรือแข่งทศกรีฑา 40 ปีเช่นนี้ จะต้องได้รับการปฏิรูป” ดร.กฤษณพงศ์ กล่าว และว่า ดังนั้นต้องเปลี่ยนกระบวนทัศน์ใหม่ เพื่อสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ ทั้งในเรื่องการวางรากฐานชีวิต สร้างความเป็นพลเมืองและมนุษย์ที่สมบูรณ์ มีงานทำ และมีการเรียนรู้ตลอดชีวิต
ดร.กฤษณพงศ์ กล่าวถึงความเหลื่อมล้ำ ความไม่เป็นธรรมในโอกาสและคุณภาพการศึกษาต้องแก้ความผิดพลาดของระบบ ยกมาตรฐานการเรียนรู้ สร้างนักเรียนที่มีความรู้และทักษะระดับสูงให้มีสัดส่วนมากขึ้น รวมทั้งทบทวนในเรื่องการจัดสรรงบประมาณ เรียนฟรี 15 ปี เนื่องจากนักเรียนแต่ละคนมีฐานไม่เท่ากัน ต้องการการสนับสนุนที่ต่างกัน
ชี้จุดอ่อนฐานความรู้ของสังคมไทย
ขณะที่ดร.นิพนธ์ กล่าวถึงจุดอ่อนด้านฐานความรู้ของสังคมไทย เกิดจากการขาดความรู้ด้านวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ การจัดการ ความอ่อนแอของระบบวิจัย ทั้งในภาครัฐ เอกชน รวมทั้งคุณภาพการศึกษาที่ต่ำลง ทั้งที่ประเทศไทยมีงบประมาณด้านการศึกษาสูงถึงร้อยละ 4-5 ของ GDP ใกล้เคียงกับหลายประเทศที่มีรายได้สูง ขณะเดียวกัน ฐานความรู้ของข้าราชการและระบบราชการก็อยู่ในภาวะเสื่อมถอยลงมาก ถูกการเมืองเข้าครอบงำ
สำหรับกลยุทธ์ที่จะนำพาสังคมไทยไปสู่สังคมแห่งฐานความรู้ ดร.นิพนธ์ กล่าวว่า คือ การพัฒนาแบบทั่วถึง ให้ประชาชนเป็นเจ้าของ “ความรู้” หรือ “ทุนมนุษย์” เพื่อให้ประเทศพัฒนาอย่างยั่งยืน กินดีอยู่ดี ซึ่งจำเป็นต้องมีข้อตกลงร่วมกันจากฝ่ายการเมืองและราชการ ทั้งในเรื่องทรัพยากร เงิน และบุคลากรที่จะทำงานอย่างต่อเนื่อง
“การให้คนมีความรู้ทำงานร่วมกับคนที่มีความรู้น้อย หรือการให้คนมีความรู้ทำงานร่วมกับเทคโนโลยี จะทำให้เกิดการสั่งสมความรู้ และสามารถยกระดับฐานความรู้ของสังคมได้”
ยังล้าง “ไม่เชื่อ อย่าลบหลู่” ออกจากระบบคิดไม่ได้
ขณะเดียวกัน นพ.วิชัย กล่าวถึงการที่จะทำให้คนไทยลดความเหลื่อมล้ำลงได้ว่า ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทยทุกวันนี้ คือ ปัญหาช่องว่างทางสังคม ซึ่งเป็นต้นเหตุของปัญหาทั้งปวง และการพัฒนาประเทศไทยที่ผ่านมาก็เป็นการต่อสู้เพื่อ 2 แนวคิดคือ ทำเพื่อคนส่วนใหญ่ โดยคนส่วนใหญ่ที่ได้รับประโยชน์ อาจจะไม่ได้สิ่งดีที่สุด แต่แนวคิดนี้ก็มักจะพ่ายแพ้ให้แก่ แนวคิดมุ่งสู่ความเป็นเลิศ ที่ต้องการแต่สิ่งที่ดีที่สุดอยู่เสมอ
“หัวข้อในวันนี้ที่พูดถึง การปฏิรูประเทศไทยสู่สังคมฐานความรู้และนวัตกรรม มีการพูดถึงแต่สังคมคุณภาพ ไม่พูดถึงสังคมที่เป็นธรรม และเมื่อเราไปเน้นคุณภาพ มุ่งสู่ความเป็นเลิศ มุ่งการแข่งขัน เท่ากับว่า เรายอมรับระบบของทุนนิยมโดยศิโรราบ ยังอยู่ภายใต้กรอบสังคมนิยม ที่ยอมรับความเหลื่อมล้ำในสังคม”
นพ.วิชัย กล่าวว่า การที่เรามุ่งพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี โดยเน้นให้ก้าวไกล ก้าวหน้า แต่สุดท้ายก็ก้าวไม่ทันเขาอยู่ดี ทำให้สังคมเรายังคงมีช่องว่างอยู่ และมีฐานกว้างขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นหากจะทำประเทศให้ทันสมัย สร้างวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี เราต้องสร้างโดยตั้งโจทย์ว่าจะลดช่องวางทางสังคมได้อย่างไร
“ที่ผ่านมาการร่างนโยบายและแผนวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีในประเทศเรา มุ่งสร้างเพื่อให้เข้าไปรับใช้โครงสร้างระบบสังคมดั้งเดิม ซึ่งก็มีช่องว่าง โดยไม่ได้ร่างนโยบาย เพื่อไปลดความเหลื่อมล้ำในการแก้ปัญหาของสังคม จะเห็นได้ว่าตลอดมาเราใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี เพื่อเป็นเครื่องมือของระบบ แต่ไม่เคยใช้มาปรับระบบเลย”
นพ.วิชัย กล่าวถึงการปลูกฝังความคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์ในประเทศเราทุกวันนี้ นับว่ายังทำไม่สำเร็จ เพราะไสยศาสตร์ และโหราศาสตร์ยังครอบงำวิทยาศาสตร์อยู่ ยังลบล้างคำว่า “ไม่เชื่อ อย่าลบหลู่” ออกจากระบบความคิดคนในประเทศไม่ได้ ประชาชนยังหันหน้าไปพึ่งไสยศาสตร์ก่อนวิทยาศาสตร์ ยิ่งตอนนี้ศาสตร์โหราศาสตร์กำลังเป็นที่นิยมตามสื่อทั่วไป ทำให้ระบบการศึกษาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยียังไม่สามารถก้าวข้ามจุดนี้ไปได้
ส่วนความคาดหวัง และสิ่งที่อยากเห็นจากร่างนโยบายฯ นพ.วิชัย กล่าวว่า มี 3 ด้าน คือ การพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ควรมุ่งไปให้มากกว่าการพัฒนา แต่ต้องแก้ไขปัญหาใหญ่ของประเทศคือช่องว่างทางสังคมให้ได้ นั่นหมายความว่า ร่างฯ ฉบับนี้ยังต้องมีการปรับแก้ใหม่เพื่อให้ตอบโจทย์ประเทศอย่างแท้จริง ถัดมา คือ ด้านสังคมผู้สูงวัย ที่ในร่างนโยบายฯ ฉบับนี้ยังเกือบไม่มียุทธศาสตร์ หรือโครงการที่จะตอบสนองต่อสังคมที่เปลี่ยนไป และด้านสุดท้าย คือ ระบบปรัชญาการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี จะต้องทำให้ประชาชนเห็นด้วย และเชื่อถือให้ได้มากกว่าโหราศาสตร์ และไสยศาสตร์