- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- ดร.นิพนธ์ เผยเล็งเสนอชุดกฎหมายแก้ปัญหา 'ที่ดิน'
ดร.นิพนธ์ เผยเล็งเสนอชุดกฎหมายแก้ปัญหา 'ที่ดิน'
กรรมการสมัชชาปฏิรูป ชี้เรื่องที่ดิน น้ำ และทรัพยากรชายฝั่งทะเล มีตัวการหลักจากปัญหาความไม่เป็นธรรม ที่ต้องเร่งแก้เป็นส่วนแรก ยันหากไม่วางกติกา กฎหมายให้เรียบร้อยตั้งแต่ต้น จะสะสมก่อนตัวทวีความรุนแรงขึ้นในอนาคต
รศ.ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) และกรรมการสมัชชาปฏิรูป กล่าวกับศูนย์ข้อมูลข่าวสารปฏิรูปประเทศไทย ถึงการทำงานในคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป ว่า มีส่วนร่วมในคณะที่ทำงานด้านวิชาการ โดยการนำข้อมูลต่างๆ ที่เครือข่ายลงพื้นที่มารวบรวม ประมวลผลและวิเคราะห์รวมกับกับงานวิจัยที่มีอยู่แล้ว ก่อนสังเคราะห์ขึ้นมาเป็นข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ซึ่งนอกเหนือจากเรื่องระบบสวัสดิการที่รับผิดชอบ ในส่วนของงานวิจัยแล้ว ขณะนี้กำลังเดินหน้าขับเคลื่อนอีก 3 ปัญหาใหญ่ ได้แก่ การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ เรื่องที่ดิน น้ำ และทรัพยากรชายฝั่งทะเล อันมีตัวการหลักจากปัญหาความไม่เป็นธรรม ที่ต้องเร่งแก้เป็นส่วนแรก
“ปัญหาที่ดินจะมีทั้งหมด 2 ประเด็น เนื่องจากที่ผ่านมาเรามีปัญหาเรื่องการใช้ที่ดินแบบไม่มีประสิทธิภาพ มีปัญหาที่ดินรกร้างว่างเปล่า ซึ่งรัฐบาลแก้ปัญหาด้วยวิธีการจัดสรรที่ดินทำกินให้กับประชาชนและเกษตรกร แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ เช่น สปก. 4-01 นิคมสร้างตนเอง แต่ในที่สุดแล้วไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาส่วนนี้ได้ เพราะที่ดินจัดสรรไปแล้วประชาชนก็นำไปขายต่อ ในขณะเดียวกันก็มีที่ดินรกร้างว่างเปล่าอยู่จำนวนมาก”
รศ.ดร.นิพนธ์ กล่าวต่อว่า กำลังจะเสนอชุดกฎหมาย นโยบายที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้ ด้วยการพิจารณาว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ที่ดินถูกทิ้งรกร้าง รวมถึงการเก็งกำไร ซึ่งพบว่ามาจากหลายสาเหตุ และเป็นปัญหาทางโครงสร้างด้านกฎหมาย มีปัญหากฎหมายการเช่า โดยเฉพาะกฎหมายการเช่าที่นา และการเช่าที่ทำมาหากินด้านการเกษตร
“การแก้ปัญหาเหล่านี้ ต้องแก้กฎหมายการเช่า หรือกฎหมายการเก็งกำไรที่ดิน มีภาษีที่ดินเข้ามาเกี่ยวข้อง รวมทั้งกฎหมายในเวลาที่ไปโอนที่ดินก็ไม่ยุติธรรม เพราะการเก็บภาษีเงินได้ แทนที่จะเสียภาษีจากราคาที่ดินของตนเอง กลับต้องเสียภาษีเงินได้ทุกครั้งที่เสียภาษีที่ดิน นี่คือปัญหาเรื่องความไม่มีประสิทธิภาพในการใช้ที่ดิน”
ทั้งนี้ กรรมการสมัชชาปฏิรูป กล่าวถึงปัญหาความขัดแย้งเรื่องที่ดินของชาวบ้านกับรัฐว่า มี 2 สาเหตุ คือ 1.รัฐออกกฎหมายไปทับที่ทำกินของชาวบ้าน 2.ชาวบ้านเข้าไปทำกินในที่ดินของรัฐ ซึ่ง 2 เรื่องนี้ล้วนต้องการแก้ไขกฎหมาย และการแก้ปัญหาที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะในสาเหตุแรก จะต้องมีวิธีการแก้ปัญหาด้วยการนิรโทษกรรมในระยะสั้น มีกระบวนการพิจารณาคดี แต่ท้ายที่สุดแล้วปลายทางของทั้งสองเรื่องก็มาจบลงที่เรื่องกรรมสิทธิ์ในที่ดิน
“เดิมชุมชนมีการรวมตัวกันสร้างกติกา สร้างกฎเกณฑ์ต่างๆ ในการบริหารจัดการทรัพยากร มาเป็นระยะเวลานาน หลายสิบปี โดยกลุ่มองค์กรพัฒนาเอกชนและกลุ่มชาวบ้าน แต่ไม่เคยประสบความสำเร็จ เพราะหน่วยราชการไม่เคยยอมรับแนวคิดนี้ จึงต้องนำเรื่องนี้กลับมาขับเคลื่อนใหม่ให้หน่วยราชการยอมรับว่า ชุมชนมีขีดความสามารถในการบริหารจัดการ และเรื่องนี้จะครอบคลุมไปเรื่องการจัดการน้ำ ที่มีความขัดแย้งระหว่างเกษตรกรผู้ใช้น้ำด้วยกัน แย่งน้ำกัน และระหว่างเกษตรกรกับภาคธุรกิจอุตสาหกรรม เพราะหากไม่วางกติกา กฎหมายเรื่องการจัดการทรัพยากรทั้งชายฝั่งทะเล ที่ดิน และน้ำให้เรียบร้อยตั้งแต่ต้น ปัญหาเหล่านี้จะทวีความรุนแรงขึ้น”
รศ.ดร.นิพนธ์ กล่าวอีกว่า เรื่องน้ำกำลังทำข้อเสนอเร็วๆ นี้ เป็นเรื่องการจัดการลุ่มน้ำสาขาย่อยให้ชาวบ้านมีบทบาทในการจัดการมากยิ่งขึ้น การจัดการลุ่มน้ำ ยิ่งมาจากระดับสูงเท่าไหร่ ยิ่งไม่สามารถจัดการได้ เพราะปัญหาอยู่ข้างล่าง ต้องจัดการจากข้างล่าง ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องสร้างกระบวนการ สร้างสถาบัน สร้างกฎกติกา และเป็นเรื่องที่สลับซับซ้อนมาก ไม่ใช่เรื่องที่เขียนกฎหมายเสร็จแล้วจะแก้ได้เลย ต้องสร้างกระบวนการให้ทุกฝ่ายเข้าใจ และฝ่ายที่ต้องทำความเข้าใจมากเป็นพิเศษคือฝ่ายข้าราชการ
ส่วนเครือข่ายที่ดูแลเรื่องการจัดทรัพยากรชายฝั่งทะเล รศ.ดร.นิพนธ์ กล่าวว่า ขณะนี้กำลังดำเนินการรับฟังความคิดเห็น เรื่องการจัดทรัพยากรชายฝั่งทะเล โดยตั้งโจทย์ว่าจะทำอย่างไรให้มีการจัดการชายฝั่งทะเลที่มีความยั่งยืน คำนึงถึงระบบนิเวศ ชาวบ้านได้ประโยชน์ ในขณะเดียวกันการประมงพาณิชย์ก็ได้ประโยชน์ด้วย ซึ่งเครือข่ายชุดนี้ ได้ร่วมทำงานกับคณะกรรมการด้านกฎหมายเพื่อความเป็นธรรม มีนายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม หนึ่งในกรรมการสมัชชาปฏิรูป ในการยื่นข้อเสนอแก้ไขกฎหมาย แก้ไขกระบวนการยุติธรรมเพื่อความเป็นธรรม