- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- อัดรัฐออกนโยบายประชาวิวัฒน์มุ่ง ‘เฉพาะจุด’ แก้ปัญหาได้ชั่วคราว
อัดรัฐออกนโยบายประชาวิวัฒน์มุ่ง ‘เฉพาะจุด’ แก้ปัญหาได้ชั่วคราว
ดร.ปัทมาวดี ซูซูกิ ชี้ระบบเศรษฐกิจทวิลักษณ์ มี 2 แบบซ้อนกัน ออกนโยบายเฉพาะจุด ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ยั่งยืน หวั่นช่วยเหลือแรงงานนอกระบบบางอาชีพ จะกลายเป็นแรงดูด คนไหลเข้ากรุงขับวินมอเตอร์ไซต์ แท็กซี่ หาบแร่แผงลอยมากขึ้น
วันที่ 20 มกราคม คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะทำงานวาระสังคม เครือข่ายแรงงานนอกระบบ และมูลนิธิเพื่อการพัฒนาแรงงานและอาชีพ จัดเวทีเสวนา เรื่อง "เสียงสะท้อนจากแรงงานนอกระบบ" ณ ห้องประชุม LT.1 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
รศ.ดร.ปัทมาวดี ซูซูกิ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า การออกนโยบายอะไรบางอย่างออกมา รัฐบาลต้องมองโครงสร้างของระบบเศรษฐกิจทั้งหมดแล้ว แล้วจะเห็นถึงความเชื่อมโยงกัน ระหว่างภาคเมือง ภาคเกษตร การเคลื่อนย้ายแรงงานเข้ามาอยู่ในเมือง สิ่งที่เราอยู่ ณ ปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นแรงงานในระบบหรือนอกระบบ หรืออาจเรียกว่า แรงงานในภาคทางการและนอกภาคทางการ ความจริงก็คืออยู่ในระบบเดียวกัน ระบบเศรษฐกิจทวิลักษณ์ มี 2 แบบซ้อนกันอยู่ในสังคม เชื่อมโยงกัน ดังนั้นการออกนโยบายเฉพาะจุด จึงไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ยั่งยืน
คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มธ. กล่าวว่า เมื่อพูดถึงแรงงานนอก โดยเฉพาะนโยบายประชาวิวัฒน์ที่รัฐบาลประกาศออกมา มุ่งไปที่แรงงานนอกระบบที่อยู่ในเมืองค่อนข้างมาก ทั้งวินมอเตอร์ไซต์ หาบเร่แผงลอย แท็กซี่ ทำให้ในระยะยาวจะมีการไหลเวียนกลไกของแรงงาน ดังนั้นต้องมีการออกแบบนโยบายให้รองรับ การขยายตัวของแรงงานนอกระบบด้วย
“การช่วยเหลือแรงงานนอกระบบบางอาชีพ หรือเมื่อเศรษฐกิจนอกระบบมีความมั่นคงมากขึ้นจะเป็นแรงดูดที่สำคัญ มีการอพยพแรงงาน คนจะไหลเข้าสู่อาชีพเหล่านี้มากขึ้น ฉะนั้นในเชิงนโยบายมองเศรษฐกิจนอกระบบอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมองชนบท มองภาคเกษตรควบคู่กับไปด้วยเพื่อให้เกิดความสมดุล และทำอย่างไรให้ถ้วนหน้าไม่เฉพาะแรงงานนอกระบบในเมืองเท่านั้น” รศ.ดร.ปัทมาวดี กล่าว และว่า เรื่องที่จะตามมาคือที่อยู่อาศัย ที่รัฐบาลควรให้ความสนใจด้วย รวมทั้งสร้างความสมดุลของการพัฒนา ตัวหนึ่งที่ช่วยไม่ให้เกิดการไหลเข้ามากระจุกตัวที่ใดที่หนึ่งมากเกินไป
หลายกลุ่มร้องตนเองถูกทอดทิ้ง ละเลย
รศ.ดร.ปัทมาวดี กล่าวถึงนโยบายประชาวิวัฒน์ โดยเฉพาะการให้สินเชื่อแก่คนขับแท็กซี่ และหาบเร่ จัดระเบียบวินมอเตอร์ไซต์รับจ้าง ว่า แรงงานนอกระบบในเมือง ที่ประมาณการคร่าวๆ 7-8 ล้านคน แม้รัฐบาลจะมีข้ออ้างด้วยเรื่องของเวลาที่จำกัด จึงต้องเริ่มจากบางกลุ่มก่อน ซึ่งก็เห็นผลแล้วว่า การเริ่มจากบางกลุ่ม ก็มีอีกหลายกลุ่มที่เห็นว่าตนเองถูกทอดทิ้ง ถูกละเลย เข้าใจว่า ออกนโยบายมาครั้งแรก กึ่งๆ ลองผิดลองถูก ที่จะต้องมีการปรับแก้ไปเรื่อยๆ ดังนั้นรัฐบาลควรเตรียมพร้อมตั้งแต่ต้น รองรับปัญหาที่จะตามมา รวมทั้งอยากให้รัฐบาลคิดเลยไปถึงขั้นตอนการติดตาม ตรวจสอบและประเมินผลตรงนี้ด้วย
ส่วนการผลักดันให้แรงงานนอกระบบเข้าถึงประกันสังคม คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มธ. กล่าวว่า ระบบประกันสังคมที่รัฐบาลทำเป็นทางเลือกหนึ่งที่ดี แต่สภาพการที่เป็นจริงนั้น ระบบของบ้านเรามีกลไกอีกหลายเรื่องที่ทำงานอยู่ โดยเฉพาะกลุ่มองค์กรการเงิน ที่ทำงานเชื่อมโยงไปในเรื่องของการออม ประกอบ อาชีพ สวัสดิการ ฯลฯ ดังนั้นไม่อยากให้ประชาชนมองรัฐบาลเป็นทางออกอย่างเดียว เพราะการรวมกลุ่มกันเอง ทำระบบกลุ่มให้เข้มแข็ง แล้วไปเชื่อมโยงผ่านองค์กรการเงิน จะทำให้กิจกรรมหลายๆ อย่างเกิดขึ้นได้
และกรณีรัฐบาลเปิดทางเลือกการจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมของแรงงานนอกระบบ 2 แบบ โดยเฉพาะการที่รัฐบาลเลือกสมทบ 1 ใน 3 นั้น รศ.ดร.ปัทมาวดี กล่าวว่า นี่คือปัญหาการทำนโยบายแบบแยกส่วน ออกมาทีละชิ้น เนื่องจากเริ่มต้นรัฐบาล ไปตกปากรับคำสมทบเงินให้กลุ่มสวัสดิการภาคประชาชนที่ออมวันละบาท เช่น ประชาชนออมหนึ่งส่วน รัฐบาลสมทบหนึ่งส่วน ส่วนท้องถิ่นสมทบอีกหนึ่ง ฉะนั้นเมื่อเคยตกปากรับคำสัญญาสมทบให้ 1 ใน 3 สำหรับกลุ่มหนึ่ง เมื่อมาถึงกลุ่มแรงงานนอกระบบ หากรัฐบาลยินยอมสมทบให้ครึ่งหนึ่ง ก็จะมีกลุ่มสวัสดิการตั้งคำถาม
รัฐให้ของขวัญแบบไม่เต็มใจ หวังแก้ปัญหาทางการเมือง
ขณะที่นายแพทย์ภูษิต ประคองสาย สำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การที่รัฐบาลเจาะจงแก้ปัญหาแรงงานนอกระบบในเมือง ก็ไม่อยากให้รัฐบาลละเลยหรือลืมกลุ่มเกษตรกร ซึ่งถือเป็นแรงงานนอกระบบที่เป็นกลุ่มใหญ่ มิเช่นนั้นเหมือนรัฐบาลให้ของขวัญแบบไม่เต็มใจ ต้องการแก้ไขปัญหาทางการเมืองมากกว่า พร้อมเสนอให้ตั้งสำนักงานประกันสังคม (สปส.) เพื่อแรงงานนอกระบบขึ้นมาใหม่ หรือจะกำหนดให้ชัดจัด สรรคนทำงานออกมา และใช้โครงสร้างที่รัฐบาลลงทุนด้านไอที ตึกอาคาร สำนักงาน แยกออกมาให้ชัดเจน ทำเฉพาะแรงงานนอกระบบ
“ แรงงานนอกระบบมีลักษณะของปัญหา การชดเชย รับสิทธิประโยชน์ทดแทนที่ไม่เหมือนแรงงานในระบบ หากยังใช้โครงสร้างเดิมของ สปส.คิดว่าจะมีปัญหา เพราะสปส. ตั้งขึ้นมารองรับแรงงานในระบบ ปรัชญาแนวคิดคุ้นเคย มีทักษะการทำงานกับแรงงานในระบบมากกว่า ดังนั้น กลุ่มแรงงานนอกระบบน่าจะเป็นส่วนเกินก็เป็นได้”
ส่วนผศ.ดร.เสาวลักษณ์ ชายทวีป คณะศิลปะศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ กล่าวถึงทิศทางการจ้างงานในเศรษฐกิจแบบทุนนิยมว่า มีแนวโน้มจะมีการจ้างงานแบบ “แยกส่วน” มากขึ้น ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน ซึ่งการที่รัฐบาลเข้ามาดูแลแรงงานนอกระบบถือเป็นทิศทางที่ดี แต่ในนโยบายประชาวิวัฒน์ 9 ข้อ มี 4 ข้อเกี่ยวข้องกับแรงงานนอกระบบโดยตรง ยังไม่เห็นเรื่องการประกันค่าจ้าง รายได้ ที่มั่นคงแน่นอนของแรงงานนอกระบบอยู่ตรงไหน ซึ่งในอนาคตอาจประสบปัญหาไม่มีกำลังจ่ายเงินสมทบเข้าประกันสังคม หรือคืนเงินสินเชื่อ
“ปัญหาความเหลื่อมล้ำต้องแก้ไขระยะยาว มีทั้งมิติวัฒนธรรม โครงสร้างทางสังคม ดังนั้นกระบวนการให้เกิดการยอมรับในเรื่องของความเป็นมนุษย์ ยอมรับในเรื่องความแตกต่าง สถานะ ตรงนี้เป็นกระบวนการที่ต้องสร้างควบคู่ไปด้วย ซึ่งสิ่งต่างๆ ที่ปรากฎในนโยบายประชาวิวัฒน์ ยังไม่พอ ยังไม่สามารถลดความเหลื่อมล้ำลงได้”
เอ็นจีโอแนะไปให้ไกลกว่าประชาวิวัฒน์
ด้านนางสุนทรี หัตถี เซ่งกิ่ง เลขาธิการคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน กล่าวถึงประกันสังคมในนโยบายประชาวิวัฒน์ โดยตั้งคำถามว่า 1.ทำไมสิทธิประโยชน์ไม่เท่ากัน ประชาวิวัฒน์เคาะสิทธิประโยชน์ให้แรงงานนอกระบบ เหลือแค่ 3 สิทธิประโยชน์ จาก 7 สิทธิประโยชน์ที่แรงงานในระบบได้รับ 2.ที่ผ่านมามีเสียงเรียกร้องให้รัฐสมทบ อัตราไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง หรือ ให้รัฐสมทบเท่ากัน แต่ประชาวิวัฒน์ รัฐสมทบ แค่ 1 ใน 3 อีกทั้งความยั่งยืนของกองทุนจะเกิดขึ้นได้อย่างไร เมื่อรัฐใช้คำว่า “ประเดิม” ดังนั้นจึงอยากเห็นรัฐสมทบแบบยั่งยืน 3.ประชาวิวัฒน์ คลอดออกมาเป็นเหตุผลทางการเมืองหรือไม่ ฉะนั้น เพื่อให้ยั่งยืน ในระยะยาวรัฐต้องให้คำมั่นด้วยว่า จะไปแก้ไขพระราชบัญญัติประกันสังคมฯ ให้สิทธิประโยชน์แรงงานนอกระบบเท่ากันกับแรงงานในระบบ
“วันนี้ระบบสวัสดิการที่รัฐจัดให้ ทั้งสับสนและวุ่นวายมาก ทำอย่างไรให้เชื่อมโยง เข้าใจง่าย และไม่ต้องมีหลายเมนูให้วุ่นเกินไป เพราะประชาชนยากจะเข้าถึง และอยากให้นโยบาย ไปให้ไกลกว่า ประชาวิวัฒน์ ทำให้มาตรา 40 ในกฎหมายประกันสังคมดีกว่านี้ได้หรือไม่”นางสุนทรี กล่าว และว่า สำหรับแรงงานนอกระบบประกันสังคมอย่างเดียวไม่พอ ต้องเริ่มจากทำอย่างไรให้มีงานทำอย่างต่อเนื่อง ควรเป็นการบ้านของบ้านเมืองนี้ ที่จะดูแลแรงงานนอกระบบ 24 ล้านคน ที่สร้างเศรษฐกิจ 70% ของจีดีพี ให้มีหลักประกันการมีงานทำ ประกันรายได้ ในช่วงเวลาที่ไม่มีงานทำ อย่างน้อยมีเงินยังชีพให้กับประชาชน
ทั้งนี้ ในช่วงสุดท้ายเวทีการเสวนา มีเสียงสะท้อนจากแรงงานนอกระบบตัวจริงเสียงจริงจากกลุ่มอาชีพต่างๆ ซึ่งสรุปในภาพรวมมีความเห็นว่า นโยบายประชาวิวัฒน์ และมาตรการต่างๆ ที่ออกมา ไม่ครอบคลุมทุกกลุ่มอาชีพ เช่น แม่บ้าน สถานบริการ เกษตรกร และผู้รับงานไปทำที่บ้าน อีกทั้งมาตรการก็ยังไม่ชัดแจน เช่น การประกันกลุ่ม ทำอย่างไร จะทำได้เมื่อไหร่ หรือทำให้ครบวงจรได้อย่างไร
โดยสิ่งที่ต้องการเพิ่มเติม คือ ขอให้มีการประกันรายได้ การอบรมทักษะ เพิ่มเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เป็น 1,500 บาท ยกเลิกการเก็บส่วย ต้นทุนการผลิต หนี้สิน ที่ดินทำกิน ค่าไฟฟ้า และยกระดับตลาดสินค้าโอทอป สำหรับข้อเสนอเกี่ยวกับ มาตรการ 40 ในกฎหมายประกันสังคมนั้น อยากให้มีการแยกประกันสังคมของแรงงงานนอกระบบออกมาให้ชัดเจน ทั้งงบประมาณและระบบงาน และทำให้สิทธิประโยชน์ 7 อย่างเหมือนอยู่แรงงานในระบบ