- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- “จุรี” เปรียบการเมือง เป็น ‘สมบัติประจำตระกูล’
“จุรี” เปรียบการเมือง เป็น ‘สมบัติประจำตระกูล’
ผูกขาดจากตระกูลที่มีอิทธิพล เลขาธิการองค์กรเพื่อความโปร่งใสฯ แนะขจัดความคิด-เชื่อที่เลวร้าย ลดบทบาทระบบอุปถัมภ์ หนุนปชช. สร้างการเมืองใหม่ ลงขันเป็นเจ้าภาพให้นักการเมือง กันการถูกกลืนเข้าระบบพรรค
วันที่ 19 กุมภาพันธ์ สถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย จัดอบรมหลักสูตรการสื่อสารมวลชนระดับต้น (กสต.) รุ่นที่ 2 ณ ห้องประชุมอิศรา อมันตกุล สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย โดยมี รศ.ดร.จุรี วิจิตรวาทการ เลขาธิการองค์กรเพื่อความโปร่งใสในประเทศไทย บรรยายหัวข้อ ‘โครงสร้างสังคมไทยในยุคของการเปลี่ยนแปลง’
รศ.ดร.จุรี กล่าวถึงโครงสร้างสังคมไทยมีการปรับเปลี่ยน ตั้งแต่ พ.ศ.2475 กระทั่งปัจจุบัน รวมระยะเวลากว่า 70 ปี ซึ่งสั้นกว่าชาติตะวันตกที่มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างอย่างต่อเนื่องเป็น เวลาหลายร้อยปี โดยยุคแรกที่ชาติตะวันตกเข้ามาล่าอาณานิคม สร้างแรงกดดันให้กับชนชั้นปกครองต้องปรับตัวอย่างมาก แต่ในหมู่ประชาชนยังไม่มีการแพร่หลาย กระทั่งการปฏิรูประบบราชการสมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีการปรับรูปแบบการปกครองให้ทันสมัย ส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วม แต่การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ขาดการปรับโครงสร้างด้านความคิด ความเชื่อ ค่านิยม ซึ่งกลายเป็นปัญหาในที่สุด
“การให้ประชาชนมีส่วนร่วม มีความเชื่อมั่นจะต้องสอนให้ประชาชนเคารพสิทธิของตนเองควบคู่ไปกับการเคารพ สิทธิของผู้อื่น ขณะเดียวกัน ต้องสอนให้รู้จักหน้าที่พลเมือง เพราะในสังคมประชาธิปไตย สิทธิย่อมต้องมีดุลยภาพกับหน้าที่ ยกตัวอย่างเช่น การชุมนุมแบบถาวร ปิดสนามบิน ปิดสะพาน เป็นการละเมิดสิทธิของผู้อื่น อีกทั้งเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย สิ่งเหล่านี้เกิดจากการละเลยในการทำความเข้าใจเรื่องหน้าที่พลเมือง ฉะนั้น จะต้องมีการตระหนัก สร้างกระบวนการเรียนรู้ ตลอดจนถ่ายทอดให้เข้าใจถึงหลักปรัชญาดังกล่าว”
เลขาธิการองค์กรเพื่อ ความโปร่งใสฯ กล่าวต่อว่า การพัฒนาทางเศรษฐกิจทำให้ประเทศไทยดีขึ้น จนกลายเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลาง (Middle Income Countries) ไม่ใช่ประเทศกำลังพัฒนาอีกต่อไป แต่กลับพบว่า ปัญหาทางสังคมยิ่งทวีคูณ ความเหลื่อมล้ำสูง อีกทั้ง การขยายตัวทางเศรษฐกิจทำให้เกิดการกระจุกตัวของเงินทุน นายทุนจำนวนมากผันตัวเข้าสู่การเมือง ผลที่ตามมา เมื่อคนรวยเล่นการเมือง มีอำนาจทางการเมือง ยิ่งเกิดการสะสมทุนอย่างต่อเนื่อง จนเกิดวงจรอุบาทว์ที่ว่า เงินนำมาซึ่งตำแหน่ง ตำแหน่งนำไปสู่เม็ดเงินที่มากขึ้น ในที่สุดการเมืองจึงถูกผูกขาดทั้งระบบ และกลายเป็นพื้นที่ของกลุ่มคนที่มีทรัพยากร
“การเมืองไทยใน ปัจจุบัน อาจเรียกได้ว่า ถูกผูกขาดพื้นที่โดยตระกูลที่มีอิทธิพล ไม่เว้นกระทั่งในพื้นที่ต่างจังหวัด พรรคการเมืองกลายเป็นแหล่งรวบรวมและสะสมจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เพื่อสร้างอำนาจต่อรองทางการเมือง ฉะนั้น ในยุคปัจจุบันแม้ว่านายกรัฐมนตรีจะบริสุทธิ์ แต่ถ้าพรรคร่วมไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ย่อมสร้างแรงกดดัน กระทั่งเกิดภาวะจำยอม ประนีประนอม เพื่อให้ครองอำนาจต่อไป ขณะเดียวกันตำแหน่ง ทางการเมือง กลายเป็นสมบัติประจำตระกูลที่สืบทอดและผลัดกันชมภายในตระกูลเท่านั้น ระบบดังกล่าวทำให้การเมืองย่ำแย่ ไม่เป็นที่พึ่งของสังคม จึงต้องมีการเมืองรูปแบบใหม่ เพื่อสร้างพื้นที่ให้คนดีได้มีที่ยืนทางการเมืองเพิ่มขึ้น”
รศ.ดร.จุรี กล่าวต่อว่า คนส่วนใหญ่ที่เบื่อหน่ายกับการเมืองต้องสร้างเงื่อนไขและกลไกใหม่ โดยรวมกลุ่มกันลงขันเพื่อเป็นแหล่งเงินทุนให้กับผู้ที่มีใจรักและอยากเข้ามา มีบทบาททางการเมือง โดยที่ไม่ต้องพึ่งพิง หรือเป็นหนี้บุญพรรคการเมืองใหญ่ เช่น ประเทศเกาหลี ที่ประชาชนต้องการการเมืองรูปแบบใหม่ จนในหมู่นักเรียนมีการลงขัน เงินค่าขนม เพื่อสนับสนุนคนดีเข้ามาเป็น ส.ส. โดยไม่ต้องผ่านพรรคการเมืองใหญ่
“แม้อาจเป็นเรื่องยาก แต่ถ้าไม่เริ่มทำการเมืองภาคประชาชนก็จะไม่เกิดขึ้น เชื่อว่า การเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไปเช่นนี้ จะสร้างเจ็บปวดน้อยกว่าการเปลี่ยนแปลงแบบถอนรากถอนโคน อีกทั้งเหมาะกับจริตของคนไทยที่มีความยืดหยุ่น ซึ่งการแก้ไขปัญหาดังกล่าวต้องเริ่มจากความคิด ความเชื่อ ที่ต้องหล่อหลอมและสร้างภูมิคุ้มกันตั้งแต่วัยเด็กให้มีจิตสาธารณะ นึกถึงประโยชน์ส่วนร่วม และความรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อแก้ปัญหาระยะยาว ทั้งนี้ จะต้องมีการแก้กฎหมาย ใช้สื่อปลุกระดมให้เกิดการตระหนักรู้ รวมทั้งปรับเปลี่ยนระบบการศึกษาให้ดีขึ้น
รศ.ดร.จุรี กล่าวด้วยว่า รัฐบาลจะต้องมีความตั้งใจจริงในการปรับเปลี่ยนสังคม ขจัดความคิดความเชื่อที่เลวร้าย ลดระบบอุปถัมภ์ลง กระทั่งจางหายไป โดยใช้ความสามารถของบุคคลเป็นตัวแทน ใช้ความเป็นธรรมเป็นตัวตั้ง รวมทั้งใช้ความดีทางวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง นั่นคือ ความเอื้ออาทร ไม่ได้เลือกที่รักมักที่ชัง เพื่อสร้างการเมืองแบบใหม่ที่ประชาชนได้มีส่วนรวมทางสังคมอย่างสร้างสรรค์