- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- เปิดมุมมองนิติเศรษฐศาสตร์ ระบบยุติธรรมไทยคิดโทษปรับต่ำเกิน
เปิดมุมมองนิติเศรษฐศาสตร์ ระบบยุติธรรมไทยคิดโทษปรับต่ำเกิน
ดร.สมเกียรติ เผยผลวิจัยพบส่วนใหญ่มุ่งจำคุก ส่งผลให้รัฐมีต้นทุนสูงบริหารจัดการสูง พร้อมเสนอปฏิรูปส่งเสริมให้ไกล่เกลี่ยคดีที่ยอมความกันได้ ใช้โทษปรับตามรายได้ ด้านนายกสภาทนายความ แนะพัฒนาพนง.สอบสวนวิชาชีพ อย่างถูกต้องตรงกัน ลดปัญหาหลายมาตรฐาน
วันที่ 21 กุมภาพันธ์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศ (ทีดีอาร์ไอ) ร่วมกับสถาบันวิจัยรพีพัฒนศักดิ์ สำนักงานศาลยุติธรรม ภายใต้การสนับสนุนจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) จัดสัมมนานำเสนองานวิจัยและการอภิปรายเรื่อง “ทางเลือกในการเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการยุติธรรม” โดยมี ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ รองประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศ เป็นผู้นำเสนอผลงานวิจัย
ดร.สมเกียรติ กล่าวถึงปัญหาระบบยุติธรรมทางอาญาของไทยว่า มีการนำคดีเข้าสู่ระบบยุติธรรมจำนวนมาก ขณะที่ระบบกลั่นกรองขาดประสิทธิภาพ ทำให้การพิจารณาเกิดความล่าช้า ขาดความเป็นธรรม อีกทั้งโทษทางอาญาส่วนใหญ่ มุ่งเน้นการจำคุกมากเกินไป ปัญหาส่วนหนึ่งเกิดจากการจัดสรรทรัพยากรและการออกแบบระบบแรงจูงใจ
ดร.สมเกียรติ กล่าวถึงการสุ่มเก็บข้อมูลเกี่ยวกับคดี 8 ฐานความผิด ประกอบด้วย การใช้เช็ค หมิ่นประมาท ลักทรัพย์ การพนัน จราจรฯ อาวุธปืน ยาเสพติด ร่างกาย จากศาลอาญารัชดาและศาลแขวงพระนครเหนือกว่า 400 คดี และสุ่มสำรวจคำตัดสินของศาลฎีกา 150 คดี พบว่า ต้นทุนด้านงบประมาณของระบบยุติธรรมทางอาญา ในปี พ.ศ.2546 มีรายจ่ายราชทัณฑ์อยู่ที่ร้อยละ 0.28 ของ GDP รายจ่ายศาลและอัยการอยู่ที่ร้อยละ 0.18 ของ GDP ขณะที่ต้นทุนรายจ่ายสูงสุดคือ ตำรวจ อยู่ที่ร้อยละ 0.81 ของ GDP
“มุมมองนิติเศรษฐศาสตร์ ระบบยุติธรรมของไทย เกิดจากความเชื่อที่ว่า กระบวนการอาญาเป็นหลักในการระงับข้อพิพาท ซึ่งเมื่อยึดหลักการดังกล่าว ทำให้การกำหนดโทษปรับต่ำกว่าระดับที่เหมาะสมอย่างมาก คดีส่วนใหญ่จึงมักลงโทษผู้กระทำความผิดด้วยการจำคุก ส่งผลให้รัฐมีต้นทุนสูงในการบริหารจัดการคุก ขณะเดียวกัน จำเลยถูกกันออกจากตลาดแรงงาน และยากที่จะกลับคืนสู่ตลาดแรงงานได้อีกในอนาคต ซึ่งต่างจากการลงโทษด้วยวิธีการอื่น เช่น โทษปรับ ที่มีต้นทุนต่ำกว่าการจำคุก และมีประสิทธิภาพในการป้องปรามการกระทำความผิดซ้ำ ขณะที่การลงโทษด้วยการบริการสังคม เป็นการสร้างมูลค่าให้กับสังคม”
ดร.สมเกียรติ กล่าวถึงแนวทางการปฏิรูป ว่า 1.ควรยกเลิกโทษอาญาในกรณีที่มีมาตรการอื่นที่เหมาะสมกว่า โดยเฉพาะคดีเช็คและคดีหมิ่นประมาท 2.ควรส่งเสริมให้มีการไกล่เกลี่ยในคดีที่ยอมความกันได้ เพื่อแก้ปัญหาระดับต้นน้ำ 3.ควรใช้โทษปรับตามรายได้ (day fines) เป็นมาตรการลงโทษ แทนการจำคุก เนื่องจากหลักการดังกล่าว เหมาะสมกับประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำสูง ทั้งนี้ การปฏิรูปดังกล่าว จะช่วยลดต้นทุนภาครัฐถึง 1,867 ล้านบาทต่อปี และทำให้ปริมาณคดีเข้าสู่ศาลลดลง
ขณะที่นายสัก กอแสงเรือง นายกสภาทนายความ กล่าวถึงโทษอาญาในกฎหมายไทย เกิดจากระบบการตราและแก้กฎหมาย โดยเจ้าหน้าที่และหน่วยงานของรัฐที่ต้องการอำนาจ จึงผลักภาระทุกอย่างไปที่ประชาชน ไม่ว่าจะเรื่องการประกอบอาชีพ ที่ต้องจ่ายเก็บค่าธรรมเนียมในอัตราสูง อีกทั้งมุ่งสร้างระบบคุ้มครองปัจเจก โดยใช้ประชาชนเป็นตัวประกัน ยกตัวอย่างเช่น กรณีทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งเป็นความรับผิดทางการค้า แต่กลับมีบทลงโทษทางอาญา ฉะนั้น จึงควรยกเลิกความผิดอาญาที่เกินความจำเป็น
“อีกประการหนึ่ง ผู้ต้องหา จำเลยมีการแบกภาระมากเกินไปในกระบวนการยุติธรรม เนื่องจากระบบกล่าวหา ทำให้ผู้ถูกกล่าวหา ต้องมาให้ข้อมูลและพยามหลักฐาน เมื่อถูกออกหมายเรียก ทั้งที่ในความเป็นจริง ควรจะต้องสอบข้อเท็จจริงจากผู้แจ้งเสียก่อน และเมื่อพบมูลความผิดจึงดำเนินการสอบสวนฝ่ายผู้ถูกกล่าวหา นอกจากนี้ หลักประกันการปล่อยตัวชั่วคราว ในชั้นสอบสวนยังเคร่งครัดมาก จนนำไปสู่การสร้างธุรกิจประกันอิสรภาพ ซึ่งเสียหายต่อกระบวนการยุติธรรมอย่างมาก”
นายกสภาทนายความ กล่าวถึงหลักการสอบสวนตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 ว่า กำหนดกรอบให้การสอบสวนต้องถูกต้อง รวดเร็ว และเป็นธรรม เพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน คุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ซึ่งสวนทางกลับรูปแบบการสอบสวนในปัจจุบัน ฉะนั้น จึงต้องมีการพัฒนาปรับปรุงการสอบสวน เพื่อสร้างสำนวนคุณภาพ โดยเริ่มจากการพัฒนาพนักงานสอบสวนวิชาชีพ แก้ไข พ.ร.บ.ตำรวจ ให้งานสอบสวนเป็นวิชาชีพอิสระ และได้รับค่าตอบแทนทัดเทียมกับฝ่ายอื่นในกระบวนการยุติธรรม
“การสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานจากทั้งสองฝ่าย ช่วยให้เกิดสำนวนที่มีคุณภาพ ประกอบการตัดสินในการสั่งฟ้อง อีกทั้งส่งผลให้กลางทางปลายทางถูกต้องตรงกัน ไม่มีหลายมาตรฐาน นอกจากนี้ ศาลต้องมีการปรับตัว คุ้มครองสิทธิ์เสรีภาพ ตรวจสอบพนักงานสอบสวน รวมทั้งมีการไต่สวนชั้นฝากขัง โดยดำเนินการดังกล่าวอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันไม่ให้พนักงานสอบสวนกล้าหลอกลวงศาล และป้องกันการละเมิดอีกด้วย
พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รองปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า ทาง เลือกหนึ่งที่จะช่วยกันคนออกจากกระบวนการยุติธรรมคือ รัฐต้องลงทุนในการป้องกันอาชญากรรม เนื่องจากอาชญากรรมที่สูงจะทำลายคุณค่าความเป็นมนุษย์ อีกทั้ง ต้องมีการนิยามความหมายของอาชญากรรม อาชญากรให้ชัดเจน โดยมุ่งเน้นการกระทำที่เป็นภัยต่อสังคม ไม่ใช่เป็นการกระทำความผิดที่รัฐกำหนดโทษให้เทียบเท่าอาชญากรรม ขณะเดียวกัน ผู้ที่บัญญัติกฎหมายจะต้องมีความปราดเปรื่องรอบรู้ ไม่ใช้ถ่อยคำที่คลุมเครือ เนื่องจากอาจส่งผลต่อการตีความ หรือทำลายเจตนารมณ์ของกฎหมาย
รองปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวต่อว่า ภาค เอกชน มักมองว่า สิ่งที่รัฐทำส่วนใหญ่มักจะไม่ประสบความสำเร็จ ไม่ดี แม้กระทั่งเรื่องกระบวนการยุติธรรม ขณะที่ในหลายเรื่อง เช่น การสืบสวน เอกชนก็สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีฝีมือทัดเทียมกับเจ้าหน้าที่รัฐ ฉะนั้นถึงเวลาแล้วหรือไม่ ที่การทำงานเรื่องการสอบสวนจะมีการเชื่อมโยงงานกับภาคเอกชนมากขึ้น