- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- ‘ม็อบคนจน’ นับพันบุกกระทรวงเกษตรฯ
‘ม็อบคนจน’ นับพันบุกกระทรวงเกษตรฯ
ขปส. บุกกระทรวงเกษตรฯ ร้อง ‘ธีระ’ เร่งแก้ปัญหาด่วน ขณะที่แกนนำบางส่วนเข้าประชุมร่วมสาทิตย์ บ่นอุบชุมนุมยืดเยื้อคืบหน้าโฉนดชุมชน ได้เพียงหลักฐานต่อสู้ ด้านคนไร้บ้านรอผลหารือ พอช.
เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) จำนวน 1,000 คน ได้เดินขบวนเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมหน้ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 10 เรื่อง "กระทรวงเกษตรฯ ต้องแสดงศักยภาพ อย่าแก้ปัญหาแบบพ่นน้ำลายไปวันๆ" หลังเดินทางมาปักหลักชุมนุมบริเวณหน้าพระบรมรูปทรงม้า เป็นวันที่ 9 เพื่อทวงสัญญาการแก้ไขปัญหาคนจน จากนายกรัฐมนตรี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เนื้อหาในแถลงการณ์ฉบับดังกล่าวได้เรียกร้องให้ นายธีระ วงศ์สมุทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหรกรณ์ แสดงศักยภาพในการแก้ไขปัญหา 4 กรณี ดังนี้ 1.กรณีพื้นที่นำร่องโฉนดชุมชนในเขตที่ดิน ส.ป.ก. จังหวัดสุราษฎร์ธานี 3 พื้นที่ และอีก 2 พื้นที่ในจังหวัดอุบลราชธานี และจังหวัดภูเก็ต 2.ปัญหาเขื่อนปากมูล ซึ่งกรมชลประทานคัดค้านการเปิดเขื่อนถาวร ขอให้ใช้ข้อมูลสรุปผลการดำเนินงานของอนุกรรมการรวบรวมงานวิจัยเป็นข้อมูลอ้างอิง ในขณะที่ปัญหาอ่างเก็บน้ำห้วยฝั่งแดง ให้เร่งดำเนินการตามข้อเสนอที่ได้ยื่นต่อรัฐบาลเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาอย่างเร่งด่วน 3.กรณีชุมชนราไวย์ จังหวัดภูเก็ต ให้หยุดมาตรการรื้อถอนเครื่องสาธารณูปโภคในชุมชน และหยุดดำเนินการทางคดีความกับชาวบ้าน และ 4.กรณีการจดทะเบียนสหกรณ์ชุมชน ให้กรมส่งเสริมสหกรณ์เร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จ เพื่อนำไปสู่การนำร่องโฉนดชุมชนต่อไป
อย่างไรก็ตามภายหลังการปักหลักหน้ากระทรวงเกษตรฯ กลุ่มผู้ชุมนุม ขปส. มีโอกาสได้เข้าพบเพียงตัวแทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมชลประทาน กรมส่งแสริมสหกรณ์ และกรมที่ดิน ฯลฯ ที่เข้ามารับฟังข้อเสนอ และนำรายงานการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างเขื่อนปากมูล เพื่อนำเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ต่อไป
วันเดียวกันนี้ที่รัฐสภา ตัวแทนกลุ่มผู้ชุมนุม ขปส. จำนวน 10 คน นำโดย นายไพจิตร ศิลารักษ์ ผู้ประสานงานขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม เข้าร่วมประชุมกับคณะกรรมการแก้ไขปัญหาที่มีนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เพื่อหารือถึงแนวทางแก้ไขปัญหาคนจน ภายหลังมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ไม่เป็นที่น่าพอใจ
นายไพจิตร กล่าวว่า เหตุที่กรณีโครงการนำร่องธนาคารที่ดินภาคเหนือ 5 หมู่บ้าน ซึ่งขอให้อนุมัติงบประมาณ 167 ล้านบาทนั้น ยังไม่ผ่านมติคณะรัฐมนตรีเนื่องจากยังไม่มีรายละเอียดในด้านข้อมูลการงบประมาณอย่างสมบูรณ์ ในขณะที่กรณีเขื่อนปากมูลอาจต้องนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่งในวันที่ 8 มีนาคมเช่นกัน เนื่องจากในที่ประชุมมีการสร้างกระแสถึงกรณีหากเปิดเขื่อนจะทำให้น้ำปริมาณมหาศาลไหลทะลักท่วมพื้นที่เกษตรกรรม ซึ่งที่จริงได้มีรายงานการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างเขื่อนปากมูลที่นำเสนอต่อคณะกรรมการแก้ไขปัญหาเขื่อนปากมูล ได้ลงพื้นที่ศึกษาเหล่านี้ไว้ทั้งหมดแล้ว
“ข้อเท็จจริงประการหนึ่งระบุว่า การเปิดเขื่อนปากมูลนั้นไม่สามารถทำให้น้ำท่วมพื้นที่การเกษตรได้ ในทางกลับกันมีอีกหลายกระแสห่วงว่าหากเปิดเขื่อนแล้วน้ำจะแห้งก็ไม่เป็นความจริง เนื่องจากมีตาน้ำใต้ดินไหลอยู่เสมอ ซึ่งที่ผ่านมาได้ทดลงเปิดเขื่อนปากมูลตั้งแต่เดือนสิงหาคมถึงเดือนธันวาคม ปรากฏว่าระดับน้ำบริเวณแม่น้ำมูนนั้นก็อยู่ในขั้นปกติ”
นายไพจิตร กล่าวอีกว่า แม้ก่อนหน้านี้จะมีมติคณะรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการ 2 ประเด็น คือ บ้านมั่นคงคนไร้บ้าน และโฉนดชุมชน ก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุด โดยเฉพาะกรณีคนไร้บ้านที่รัฐบาลมองว่าเข้าข่ายโครงการบ้านมั่นคงนั้น อันที่จริงไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ของ ขปส. ที่กำหนดไว้ เนื่องจากผู้เดือดร้อนเป็นคนจน ไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง จึงต้องการสร้างความมั่นคงในด้านนี้ ขณะที่โครงการบ้านมั่นคงมีนโยบายสนับสนุนการออม และกู้ยืม จึงไม่ตอบโจทย์การแก้ปัญหามากนัก
“เนื่องจากในที่ประชุมไม่มี สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) มาร่วมด้วย ทำให้ไม่สามารถหาข้อสรุปถึงแนวทางการแก้ไขได้ เพราะการแก้ระเบียบปฏิบัติ หรือคุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการจะสามารถทำได้ง่ายกว่าการนำเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งในเบื้องต้นนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย เตรียมเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาหารือในวันที่ 25 กุมภาพันธ์นี้เพื่อหาข้อยุติดังกล่าว”
ด้านกรณีโฉนดชุมชนนำร่อง 35 พื้นที่ นายไพจิตร กล่าวว่า เป็นเพียงเรื่องเดียวที่มีความชัดเจนสูงสุด แต่ก็เป็นเพียงการอนุมัติเห็นชอบในหลักการของคณะรัฐมนตรี ซึ่งมีประโยชน์เพียงเป็นหลักประกันทางกฏหมายให้แก่ชาวบ้านเพื่อต่อสู้คดีชั้นศาลเท่านั้น โดยส่วนตัวเห็นว่ารัฐบาลควรไปสร้างความชัดเจนในแนวนโยบายของตนมาเสียก่อน เนื่องจากขณะนี้ได้เกิดความขัดแย้งกันเอง ระหว่างนโยบายของนายกรัฐมนตรีกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
นายไพจิตร กล่าวตบท้ายว่า ก่อนหน้าจะมีประชุมคณะรัฐมนตรีในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ขปส. ได้แนบข้อเสนอพร้อมแนวทางการแก้ไขในแต่ละประเด็นไว้อย่างชัดเจน แต่ปรากฏว่าในหลายเรื่องคณะรัฐมนตรียังมีข้อสงสัยมากมาย ซึ่งในหลายประเด็นมีข้อมูลตอบข้อสงสัยรองรับอยู่แล้ว จึงไม่แน่ใจว่าการประชุมคณะรัฐมนตรีที่ผ่านมาใช้หลักเกณฑ์อะไรในการตัดสินใจลงมติเห็นชอบในแต่ละประเด็น