- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- ผลักแก้โควต้าสลากใหม่ลดกินแบ่ง-เพิ่มการกุศลหักเงินเข้ากองทุนพัฒนา
ผลักแก้โควต้าสลากใหม่ลดกินแบ่ง-เพิ่มการกุศลหักเงินเข้ากองทุนพัฒนา
คณะอนุกรรมาธิการเครือข่ายคนพิการเพื่อการปฏิรูป เสนอแก้ พ.ร.บ.สลากกินแบ่งฯ เข้าเวทีสมัชชาปฏิรูปประเทศไทย หวังรื้อระบบโควต้าใหม่ ลดสลากกินแบ่งเหลือ 14 ล้านฉบับ แต่เพิ่มสัดส่วนการกุศลเป็น 50 ล้าน แล้วหักรายได้ร้อยละ 28 ยอดรวมปีละกว่าหมื่นล้านบาท เข้ากองทุนเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต
รายงานข่าวจากคณะกรรมการดำเนินงานจัดสมัชชาปฏิรูป เปิดเผยว่า ในเวทีสมัชชาปฏิรูปประเทศไทย ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 24 -26 มีนาคม 2554 นี้ ที่เมืองทองธานี ได้พิจารณารับข้อเสนอของคณะอนุกรรมการเครือข่ายคนพิการเพื่อการปฏิรูป ในประเด็น “การปฏิรูปการคลังเพื่อสังคม : สลากเพื่อการพัฒนาสังคม” เข้าสู่วาระของสมัชชาแล้ว เนื่องจากเห็นว่าข้อเสนอดังกล่าวมีความสำคัญและน่าจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อประชาชนผู้พิการและคนด้อยโอกาสในสังคม
ที่ผ่านมาคณะอนุกรรมาธิการเครือข่ายคนพิการเพื่อการปฏิรูป ได้มีการจัดประชุมเพื่อจัดทำร่างมติเพื่อเตรียมเสนอต่อเวทีสมัชชาปฏิรูประเทศไทยหลายครั้ง และมีความเห็นร่วมกันว่า กลไกในการแก้ปัญหาและการทำงานของภาครัฐเกี่ยวกับผู้พิการและคนด้อยโอกาส ยังเป็นรูปแบบการสงเคราะห์และการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ขาดการพัฒนาเชิงนวัตกรรม ทำให้ผลประโยชน์ตกถึงประชากรกลุ่มดังกล่าวอย่างไม่เต็มที่ และอย่างไม่มีประสิทธิภาพ
คณะอนุกรรมาธิการฯ มีความเห็นร่วมกันว่า รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องเร่งปฏิรูประบบการคลังเพื่อสังคม เปิดโอกาสให้ภาคเอกชนและภาคประชาสังคมมีส่วนร่วมในการพัฒนาเชิงนวัตกรรม ด้วยกลไกที่มีความเป็นอิสระ ประสิทธิภาพ และมีธรรมาภิบาล โดยเสนอให้มีการปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ.สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พ.ศ.2517 เพื่อให้ปรับสัดส่วนสลากใหม่ และจัดสรรรายได้จากการจำหน่ายสลากที่ปรับสัดส่วนแล้ว เข้ากองทุนพัฒนาคุณภาพชีวิตประชากรกลุ่มเปราะบางต่างๆ
นายต่อพงษ์ เสลานนท์ อุปนายกสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะอนุกรรมาธิการเครือข่ายคนพิการเพื่อการปฏิรูป คณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป กล่าวว่า ข้อเสนอของคณะอนุกรรมการฯ คือ จากปัจจุบันมีสลากกินแบ่งรัฐบาลจำนวน 50 ล้านฉบับ และมีสลากบำรุงการกุศลจำนวน 14 ล้านฉบับ รวมทั้งสิ้น 64 ล้านฉบับ ให้ปรับเปลี่ยนใหม่โดยเพิ่มจำนวนสลากบำรุงการกุศลเป็น 50 ล้านฉบับ และปรับลดจำนวนสลากกินแบ่งให้เหลือเพียง 14 ล้านฉบับ
พร้อมกันนี้เสนอให้นำรายได้ร้อยละ 28 ของราคาสลากบำรุงการกุศลจำนวน 50 ล้านฉบับดังกล่าว ไปสมทบกองทุนที่รองรับการพัฒนาศักยภาพและคุณภาพชีวิตประชาชนกลุ่มที่มีความเปราะบางจำนวน 5 กองทุน ๆ ละ 10 ล้านฉบับ ได้แก่ เด็กและเยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และสวัสดิการสังคม ซึ่งแต่ละปีจะมีเงินสมทบจากสลากบำรุงการกุศลเข้ากองทุนรวม 13,440 ล้านบาท แยกเป็นกองทุนละ 2,688 ล้านบาท
ในส่วนของการจัดตั้งกองทุนต่าง ๆ ดังกล่าว เสนอให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่ง ที่ประกอบด้วยตัวแทนจากภาครัฐ เอกชน นักวิชาการ และภาคประชาสังคมทุกกลุ่มที่เกี่ยวข้อง เพื่อทำหน้าที่ศึกษา ให้ข้อเสนอแนะรูปแบบการบริหารกองทุนที่เหมาะสม และผลักดันให้เกิดการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงรูปแบบการบริหารกองทุนให้แล้วเสร็จภายในเวลาไม่เกินหนึ่งปี เพื่อทำให้การบริหารแต่ละกองทุนเป็นไปอย่างมีคุณภาพและประสิทธิภาพ บรรลุผลตามเจตนารมณ์ และหากมีความจำเป็นต้องตราร่างกฎหมายใหม่ ก็ให้ยกร่างกฎหมายขึ้นมานำเสนอด้วย
“รายได้ของกิจการสลากเกิดจากความเชื่อของบุคคลซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนจน เพราะฉะนั้นรายได้ที่เกิดขึ้นจึงไม่สมควรจัดเก็บเข้ารัฐ แต่ควรถูกส่งกลับไปพัฒนาสังคม พัฒนาศักยภาพและคุณภาพชีวิต สร้างความมั่นคงและเป็นธรรมทางสังคม ให้แก่ผู้ยากไร้ ผู้ด้อยโอกาสกลุ่มต่างๆ ซึ่งหลักการดังกล่าวนี้ต่างประเทศในหลายๆ ที่ได้ดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมและสามารถช่วยผู้พิการและผู้ด้อยโอกาสทางสังคมได้อย่างแท้จริง “
นายต่อพงศ์อธิบายเพิ่มว่า ในประเทศจีนได้นำงบประมาณจากการจำหน่ายสลาก มาพัฒนาในเรื่องของกีฬาและเรื่องของคนพิการและผู้สูงอายุอย่างเป็นรูปธรรมในรูปแบบของของทุน หรือแม้กระทั่งประเทศเสปนก็นำรายได้ส่วนใหญ่ของการจำหน่ายสลากมาจุนเจือคนพิการแทบทั้งหมด คณะอนุกรรมาธิการฯ จึงอยากผลักดันเรื่องนี้ให้เกิดอย่างเป็นรูปธรรมให้ได้