- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- 'สมพงษ์ จิตระดับ' เผยผลวิจัยเด็กไทย 30% ไม่สามารถอ่านวิเคราะห์ได้
'สมพงษ์ จิตระดับ' เผยผลวิจัยเด็กไทย 30% ไม่สามารถอ่านวิเคราะห์ได้
ค่าเฉลี่ยยิ่งสูงขึ้นในเด็กไทย 3 จังหวัดชายแดนใต้ นักวิชาการแนะ“ครูยุคปฏิรูป” ต้องเปลี่ยนเป็น “วิทยากรกระบวนการ” และเป็น “ครูประชาธิปไตย” สอนความเป็นพลเมือง ด้าน สสค.ให้ทุนพัฒนาสมรรถนะการอ่าน
วันที่ 14 มีนาคม สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) จัดงานแถลงข่าวเปิดโครงการส่งเสริมนวัตกรรมสร้างสรรค์การเรียนรู้ระดับประถมศึกษาครั้งที่ 1/2554 และร่วมแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับสถานการณ์เด็ก (ประถม) ไทย “อ่านได้ แต่ไร้การวิเคราะห์” ณ โรงเรียนวัดปทุมวนาราม ในพระราชูปถัมภ์
สถิติล่าสุดของสภาวการณ์เด็กและเยาวชนปี 2550 - 2552 จาก Child Watch Award 2009 – 2011 ระบุว่า เด็กประถมใช้เวลาว่างส่วนใหญ่ไปกับการเล่นเกมส์ เพิ่มจาก 23% เป็น 32% เฉลี่ยวันละ 2-3 ชั่วโมง และท่องอินเตอร์เน็ตเพิ่มจาก 18% เป็น 22% โดยเด็กประถมเพียง 50% ระบุชอบไปโรงเรียนมาก และมีสถิติลดลงจาก 57% เป็น 50% เท่านั้น
นอกจากนี้เด็กประถมมีอัตราเรียนพิเศษเพิ่มขึ้นรวม 27% โดยประมาณ 1 ใน 7 ของเด็กประถมถูกส่งไปเรียนพิเศษ แสดงให้เห็นถึงความไม่มั่นใจของผู้ปกครองต่อการเรียนการสอนในห้องเรียน
รศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ในยุคปฏิรูปการศึกษา เด็กนักเรียนวัยประถมศึกษาต้องจัดการศึกษาที่เรียกว่า “เรียนปนเล่น” ฉะนั้น “ครูยุคปฏิรูป” จะต้องเปลี่ยนวิธีคิดจาก “ครู” เป็น “วิทยากรกระบวนการ” ที่ไม่ใช่เพียงการสอนในหนังสือ แต่เป็นผู้อำนวยความสะดวกและส่งเสริมให้เด็กเกิดสถานการณ์แห่งการเรียนรู้ที่สอดคล้องตามความต้องการของเด็ก
"นักวิจัยชาวอเมริกันได้เปรียบเทียบว่า เด็กใช้เวลาเรียนรู้ทักษะการอ่านเฉลี่ยตลอดชีวิตเพียง 0.2% ขณะที่ทักษะนี้จะส่งผลระยะยาวต่อชีวิตที่เหลืออยู่มากถึง 98% สะท้อนให้เห็นว่า เด็กช่วงวัยประถมศึกษานั้นเป็นอีกช่วงเวลาที่สำคัญในการพัฒนาทักษะพื้นฐาน"รศ.ดร.สมพงษ์ กล่าว และว่า ขณะที่เด็กประถมไทยมีผลวิจัยชี้ชัดว่า กว่า 30% ไม่สามารถอ่านวิเคราะห์ได้ และค่าเฉลี่ยจะยิ่งสูงขึ้นสำหรับเด็กไทยใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
“ปัจจุบันการเรียนการสอนยังเป็นระบบ 70 : 30 คือเรียนในตำรา 70% และทำกิจกรรม 30% ฉะนั้นสำหรับโครงการเด็กประถมนั้นก็น่าจะกระตุ้นในสัดส่วนของกิจกรรมมากขึ้น ขณะเดียวกันครึ่งหนึ่งของการเรียนรู้ในตำราก็ต้องปรับให้สอดคล้องกับวัยเด็กประถมที่ต้องเน้นการเล่นไปด้วยเรียนไปด้วย”
รศ.ดร.สมพงษ์ กล่าวต่อว่า อีกบทบาทที่ครูยุคปฏิรูปต้องพยายามปรับวิธีคิด ให้เป็น “ครูประชาธิปไตย” ที่จะสอนความเป็นพลเมือง ให้เคารพความแตกต่างหลากหลาย ซึ่งแนวทางในการส่งเสริมนั้นครูจะต้องเปลี่ยนบทบาทการสอน ใช้เหตุผลมากขึ้น เพราะการปลูกฝังประชาธิปไตยไม่ใช่ในรูปแบบของสภานักเรียนอย่างเดียว
ด้านอ.นคร ตังคะพิภพ หนึ่งในคณะผู้ติดตามโครงการส่งเสริมนวัตกรรมสร้างสรรค์การเรียนรู้ระดับมัธยมครั้งที่ 1/2553 กล่าวว่า โครงการดังกล่าว ถือเป็นโอกาสเพิ่มช่องทางให้ครูได้เริ่มคิดค้นกระบวนการเรียนการสอนเพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ให้สอดคล้องต่อสภาพแวดล้อมและตามความต้องการของเด็ก
“เดิมการเรียนการสอนเป็นการเรียนรู้แบบแห้ง และนิ่งในห้องเรียนสี่เหลี่ยม และยึดตำราเรียนเป็นหลัก ซึ่งทำให้เด็กรู้สึกไม่สนุกสนาน จึงต้องกระตุ้นให้ครูได้เปิดกิจกรรมที่เคลื่อนไหวและตรงกับวิถีชีวิต ความต้องการนักเรียน ซึ่งจะช่วยสร้างแรงจูงใจในการเรียนได้มากขึ้น”
อ.นคร กล่าวอีกว่า แม้การเปิดให้ทุนในระดับประถมจะเป็นกลุ่มโรงเรียนที่มีขนาดเล็กกว่า และมีบุคลากรจำนวนน้อยกว่าโรงเรียนระดับมัธยม แต่ถ้าสามารถสนับสนุนโรงเรียนประถมเดี่ยวๆ รวมตัวกันได้ ก็จะทำให้เกิดการทำงานเป็นเครือข่ายโรงเรียน “พี่น้อง” ที่ร่วมกันแลกเปลี่ยนเรียนรู้และเป็นพลังขับเคลื่อนการศึกษาจากภาคประชาสังคมได้อย่างแท้จริง
ส่วนน.ส.ประพาฬรัตน์ คชเสนา นักวิชาการ สสค. กล่าวว่า แนวคิดการมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา ภาคประชาสังคม และโรงเรียนทั่วประเทศ เพื่อให้เด็กและเยาวชนค้นพบศักยภาพและความถนัดของตนเอง มีทักษะและสามารถพัฒนาตนเอง จนเป็นที่มาของโครงการฯ โดยมีประเด็นสำคัญในการส่งเสริมค่านิยมสำนึกรักท้องถิ่น ด้วยการสร้างหลักสูตร หรือกิจกรรมที่มีอัตลักษณ์เฉพาะตัว โดยเฉพาะครูท้องถิ่นจะมีกระบวนการสร้างการเรียนรู้อย่างไรให้เด็กรักท้องถิ่นตัวเอง
น.ส.ประพาฬรัตน์ กล่าวด้วยว่า หัวข้อในการให้ทุนครั้งนี้ มุ่งเน้น 3 ด้าน ได้แก่ การพัฒนาสมรรถนะการอ่าน การเรียนรู้ที่ทำให้ผู้เรียนรู้สึกสนุกและอยากเรียนรู้ไปพร้อมกัน และการเรียนรู้ที่พัฒนาคุณลักษณะที่ดีงามของผู้เรียน โดยแบ่งโครงการเป็น 2 ลักษณะคือ โครงการเดี่ยว (ภายใต้เงินสนับสนุน 50,000 บาท) และโครงการกลุ่ม เพื่อสนับสนุนให้เกิดการช่วยเหลือแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อสร้างเครือข่ายโรงเรียนพี่โรงเรียนน้อง (ภายใต้เงินสนับสนุน 50,000 - 500,000 บาท) ซึ่งระยะเวลาดำเนินงานระหว่าง 8 - 12 เดือน และสามารถเริ่มโครงการภายในเดือนกรกฎาคม - สิงหาคม 2554