- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- ดร.รอยล เชื่อความเป็นธรรมเกิดยาก วางแผนชาติบนฐาน ‘ไทยแล้ง’
ดร.รอยล เชื่อความเป็นธรรมเกิดยาก วางแผนชาติบนฐาน ‘ไทยแล้ง’
หนุนเลิกให้งบฯ กทม. แล้วนำเงินไปแก้ปัญหาที่บึงบอระเพ็ด-อีสาน ถูกกว่า ผอ.สสนก.ค้านวิธีสูบน้ำจากแม่น้ำโขง ยันอีสานไม่ได้แล้ง มีฝนเพียงพอ แต่ติดภูมิประเทศไม่เอื้ออำนวยให้กักเก็บน้ำ
วันที่ 16 มีนาคม ภาควิชาการวางแผนภาคและเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สนับสนุนโดยมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์จัด จัดปาฐกถา เสาหลักของแผ่นดิน" ชุดความเหลื่อมล้ำความไม่เป็นธรรมในการเข้าถึงทรัพยากรและบริการพื้นฐานของประเทศไทย ครั้งที่ 3 โดยดร.รอยล จิตรดอน ผู้อำนวยการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (องค์การมหาชน) (สสนก.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และคณะกรรมการจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อความเป็นธรรม ณ ห้อง 111 อาคารมหาจุฬาลงกรณ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ใช้เงินแก้มากกว่าใช้เงินสร้าง
ดร.รอยล กล่าวถึงน้ำกับความเป็นธรรม โดยได้ยกตัวเลขการใช้จ่ายขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ของประเทศไทย ซึ่งได้รับงบประมาณปีละกว่า 4 แสนล้านบาท นำไปใช้จ่ายพัฒนาเรื่องน้ำ 2.17% ใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง 7-8 % ตัวเลขนี้ สะท้อนว่า เราไม่เข้าใจธรรมชาติ เราใช้เงินแก้มากกว่าใช้เงินสร้าง แต่ละปีใช้เงินพัฒนาเรื่องแหล่งน้ำประมาณ 3 – 4 หมื่นล้านบาท แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นเรื่องน้ำปี 2553 มีข้อพิสูจน์และ ฟ้องแล้วว่า ประมาณ 2 แสนล้านบาท”
การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่มีความผันผวนมากขึ้นนั้น ดร.รอยล กล่าวว่า ภาพที่เปลี่ยนไป คือ ธรรมชาติส่งผลกับประเทศไทย ปี 2552 มีพายุเข้า 40 ลูก จากพายุเฉลี่ยในเอเชียแปซิฟิกมีอยู่ 31.6 ลูกต่อปี ความเสียหายหมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ เช่นเดียวกับปี 2553 มีพายุเข้า 32 ลูก สร้างความเสียหายกว่าสองพันล้านเหรียญสหรัฐฯ นี่คือสิ่งที่เรากำลังเผชิญ
“ความเชื่อหลายๆ อย่างที่ค่อนข้างสับสน ด้วยการไปพึ่งพิงความรู้ฝรั่งว่า ในยุคของเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change) ประเทศไทยฝนจะน้อยลงเหมือนออสเตรีย จึงไปเร่งพัฒนาจะสูบน้ำจากแม่โขง จากสาละวิน โดยที่ไม่ได้ใช้ความรู้เราเอง ดูว่าประเทศไทยจะเป็นอย่างไร ทั้งๆที่ตัวเลขฟ้องว่า ปริมาณฝนจากที่ 9% กระโดดขึ้นกว่า 10% และมากขึ้นตลอด”
ผอ.สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำฯ กล่าวถึงแผนของชาติที่ถูกเขียนโดยมองว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะทำให้ฝนในประเทศไทยน้อยลง โดยเฉพาะแผนเมือง 2060 ยังวางภาพไว้ตรงนี้ แบบมองว่า จะแล้งอย่างเดียว ฉะนั้นการสร้างความรู้ความเข้าใจ ถึงจะเกิดความเป็นธรรม ขณะที่การบริหารจัดการน้ำจะใช้ทฤษฎีหรือหลักการแบบเดิมไม่ได้แล้ว โดยต้องมองโครงสร้างน้ำแบบครบวงจร
ค้านความเชื่ออีสานแล้ง ยันฝนเพียงพอ
ขณะเดียวกันสัดส่วนน้ำฝนที่เก็บไว้ได้ต่ำ โดยเฉพาะภาคอีสานและตะวันออก สาเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากการสร้างเขื่อน อ่างเก็บน้ำที่ไม่ได้คำนึงถึงปริมาณน้ำไหลเข้านั้น ดร.รอยอล กล่าวว่า เมื่อปริมาณฝนผันผวน และมีปริมาณมากขึ้น เช่น ที่เขื่อนนครสวรรค์ ระหว่างทางจนถึงชัยนาทไม่มีที่กักเก็บน้ำ พอฝนตกใต้เขื่อนมากจึงจัดการไม่ได้ ส่วนที่ภาคอีสานมีปริมาณน้ำฝนเพียงพอ ยิ่งเมื่อคิดเป็นมวลน้ำจะเห็นว่า สูงกว่าภาคเหนือ แต่ด้วยภูมิประเทศไม่เอื้ออำนวยในการกักเก็บ ดังนั้น จึงไม่มีเหตุผลที่จะสูบน้ำจากแม่น้ำโขง
“เราไม่เคยหาทางออกให้ภาคอีสาน เพราะเราใช้ของฝรั่ง คือการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ การสร้างคลองส่งน้ำ ระบบชลประทาน โดยการสร้างระบบเล็กไม่เป็น”
ดร.รอยล กล่าวถึงภาพการใช้น้ำปี 2553 ว่า ภาคเหนือ น้ำไหลลงเขื่อน 14,687 ล้านลูกบาศก์เมตร มีปริมาณน้ำระบาย 11,455 ล้านลูกบาศก์เมตร ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ น้ำไหลลงเขื่อน 10,023 ล้านลูกบาศก์เมตร เมตร มีปริมาณน้ำระบาย 7,351 ล้านลูกบาศก์เมตร ภาคกลางน้ำไหลลงเขื่อน 4,357 ล้านลูกบาศก์เมตร เมตร มีปริมาณน้ำระบาย 4,027 ล้านลูกบาศก์เมตร ภาคตะวันตก น้ำไหลลงเขื่อน 6,071 ล้านลูกบาศก์เมตร เมตร มีปริมาณน้ำระบาย 9,364 ล้านลูกบาศก์เมตร ภาคตะวันออก น้ำไหลลงเขื่อน 1,208 ล้านลูกบาศก์เมตร เมตร มีปริมาณน้ำระบาย 932 ล้านลูกบาศก์เมตร และภาคใต้ น้ำไหลลงเขื่อน 4,371 ล้านลูกบาศก์เมตร เมตร มีปริมาณน้ำระบาย5,236 ล้านลูกบาศก์เมตร
“ที่สำคัญ คือ ภาคตะวันตก และภาคใต้ เมื่อเปรียบเทียบน้ำไหลลง และน้ำระบายจากเขื่อนปี 2553 จะพบว่า เขื่อนศรีนครินทร์ รัชชประภา ลำปาว วชิราลงกรณ์ ปราณบุรี แก่งกระจาน ขาดทุน ซึ่งการลงทุนโครงสร้างน้ำในประเทศไทยที่ผ่านมาได้สร้างปัญหา ไม่ได้สะท้อนความเท่าเทียมและโอกาส โดยเห็นได้จากการลงทุนและการบริหารจัดการ ที่ภาคกลาง กทม. จังหวัดระยอง และในภาคอีสาน”
แก้ปัญหาน้ำได้ถูก ถือเป็นกำไร
ดร.รอยอล กล่าวอีกว่า การแก้ปัญหาน้ำได้ถูกที่ถือเป็นกำไร หากแก้ปัญหาน้ำผิดที่จะกลายเป็นรายจ่ายของประเทศ เช่น ค่าสูบน้ำ การสร้างกำแพง ลงทุนสร้างกำแพงตามลำน้ำต่างๆ โดยเฉพาะจะแก้ปัญหาน้ำในกรุงเทพมหานครได้ ต้องเลิกให้งบประมาณ แล้วนำเงินตรงนี้ไปแก้ปัญหาที่บึงบอระเพ็ด จะถูกกว่า หรือนำเงินตรงนี้ไปแก้ปัญหาน้ำที่ภาคอีสาน
ผอ.สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำฯ กล่าวเสริมว่า ดังนั้น ก่อนสร้างอะไรใหม่ต้องทำความเข้าใจกับปัญหา ทำความเข้าใจกับโครงสร้างที่มีอยู่เดิม แล้วนำมาเชื่อมกันด้วย ซึ่งการเดินด้วยภาคการเกษตรที่ใช้น้ำ “สูบ” การบริหารเมืองโดยการใช้ “สูบ” กลายเป็นแก้ปัญหา 1 เท่า กลับสร้างปัญหาเพิ่มขึ้น 2 เท่า
“ณ วันนี้ ราคาพืชผลการเกษตรกำลังสูงขึ้นมหาศาล ผลผลิตการเกษตรของโลกกำลังขาดแคลน ผลการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ ประเทศจีน อินเดีย เคยส่งออก ก็ไม่สามารถส่งออกได้ นั่นคือโอกาสของคนไทย แต่เรากลับวางแผนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม บนฐานความแห้งแล้ง วางฐานของผังเมืองแบบ “ส้วมตัน” แล้วความเป็นธรรมจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ประเทศไทยน้ำจะเพิ่มขึ้น 10% แต่เรากลับวางแผนน้ำในประเทศไทยจะน้อยลง เตรียมสูบน้ำจากแม่น้ำโขง ซึ่งทุกปีน้ำไหลลงแม่น้ำโขงกว่า 8 หมื่นล้านลูกบาศก์เมตร แต่เรากลับจะสูบขึ้นมาไม่ถึงพันล้านลูกบาศก์เมตร หากเรายอมให้ทำได้ก็น่าอาย”
ดร.รอยอล กล่าวด้วยว่า ทางออกแบบบวก เช่น คลองชัยนาท –ป่าสัก จะเดินอย่างไร ดินเปรี้ยวรอบกรุงเทพ สามารถเป็นแก้มลิงได้ เป็นคาร์บอนเครดิต แก้ปัญหาดินทรุดได้ หรือคลองระพีพัฒน์ ทำงานยังไม่เต็มศักยภาพ แต่เราคิดแต่สร้างอะไรใหม่ๆ ซึ่งการมองการแก้ไขปัญหาแบบง่าย แบบจ้างฝรั่งมาทำหมด ทำให้ความเป็นธรรมมีไม่ได้
“การบริหารจัดการ ตั้งแต่รัฐบาลยันหมู่บ้าน โดยไม่ได้หันมามองตัวเอง ดังนั้น หากจะจัดการน้ำให้เป็นธรรม ควรกลับมาคิดทำตามพระราชดำริ คือ เข้าใจธรรมชาติของน้ำ สร้างความสมดุล ปรองดอง พอเพียง โดยอย่าแก้อะไรโดยใช้เป็นทฤษฎีเดียวเหมือนกันหมด”