- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- ชนเผ่า-คนไร้สัญชาติ ตบเท้าขึ้นเวทีสาธารณะ คลี่ปมปัญหา
ชนเผ่า-คนไร้สัญชาติ ตบเท้าขึ้นเวทีสาธารณะ คลี่ปมปัญหา
ในเวทีสมัชชาปฏิรูประดับชาติ ตัวแทนสตรีชนเผ่าพื้นเมือง โทษปัญหาเกือบ 100% เกิดมาจากสังคมภายนอก ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตชนิดตั้งรับไม่ทัน ตัวแทนชาวเล ฉะกระบวนการทางกม.คุมไปทั้งหมด จนชาวบ้านไม่สามารถทำกินได้ ในที่ของตนเอง
วันที่ 24 มีนาคม เครือข่ายผู้เสียโอกาส คนจนเมือง และกลุ่มชาติพันธุ์เพื่อการปฏิรูป จัดเวทีเสวนา "คลี่ปมปัญหาชนเผ่าพื้นเมือง และคนไร้สัญชาติ" โดยมีนางเตือนใจ ดีเทศน์ กรรมการสมัชชาปฏิรูป ร่วมเวที พร้อมกล่าวถึงปัญหาของปัญหาการไร้สถานะทางกฎหมายของพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์ ที่ยังคงอยู่เนื่องจากเหตุที่ว่า พี่น้องที่ไร้สถานะทางกฎหมายส่วนใหญ่มักไม่แสดงตน
นางชุติมา มอเลกู่ หรือ หมี่จู ตัวแทนสตรีชนเผ่าพื้นเมือง กล่าวถึงปัญหาของกลุ่มชาติพันธุ์ กว่า 99.99% มาจากสังคมภายนอก ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตแบบที่ตั้งรับไม่ทัน ขณะเดียวกันกลุ่มชาติพันธุ์เองก็มีความหลากหลาย ทั้งเรื่องวัฒนธรรม วิถีชีวิต และโดยเฉพาะการใช้ภาษาในการสื่อสาร
"ปัญหาที่นับเป็นวิกฤตของกลุ่มชาติพันธุ์ คือ เรื่องสถานะบุคคลหรือสัญชาติ ที่ไม่ได้รับการแก้ไขปัญหาสถานะบุคคล บ้างก็ตกสำรวจ ทำให้อยู่เมืองไทยไม่ชอบด้วยกุุฎหมาย ทั้งๆ ที่เป็นคนไทย ดังนั้นอยากให้มีการพิสูจน์ตามกฎหมาย รวมทั้งเรื่องที่อยู่อาศัย ที่ทำกินไปทับที่ป่าสงวน อุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ ป่า ไม่มีสักตารางนิ้วที่อยู่อย่างถูกต้องตามกฎหมาย"
ตัวแทนสตรีชนเผ่าพื้นเมือง กล่าวถึงความน้อยอกน้อยใจที่อยากจะบอกกับผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมืองว่า เราเป็นลูกที่ดีมาตลอด ปกป้องผืนแผ่นดินไทย รักษาป่า ป่าไม่ใช่ของชนเผ่า คนบนดอยอย่างเดียว แต่เป็นป่าของพี่น้องคนไทยทั้งแผ่นดิน เป็นทรัพยากรของโลก คนกับป่าคือชีวิตเดียวกัน เพราะหากไม่มีป่ากลุ่มชาติพันธุ์ก็อยู่ไม่ได้ เราทำหน้าที่ตรงนี้ แต่กลับถูกมองเป็นคนต่างด้าว เป็นคนอื่นที่ไม่ใช่คนไทย ดังนั้นขอให้เข้าใจกลุ่มชาติพันธุ์ด้วย
ด้านนายสนิท แซ่ซั่ว ตัวแทนชาวเล จากจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า ปัญหาของชาวเล ส่วนใหญ่เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์สึนามิ ซึ่งก่อนหน้านี้ชาวเลอยู่กันมา 200-300 ปีมาแล้ว ทำมาหากินกับทะเล พอรัฐออกกฎหมายมาควบคุมกับชาวเล ทำให้เกิดปัญหาระหว่างชาวบ้าน เจ้าหน้าที่อุทยาน นายทุน เกิดขึ้น
"กระบวนการทางกฎหมายควบคุมไปทั้งหมด ทำให้ชาวบ้านไม่สามารถทำกินได้ ในที่ของตนเอง หรือในพื้นที่ของบรรพบุรุษ พอตั้งวงพูดคุยก็ถูกกล่าวหา ว่าจะก่อม็อบ ชาวบ้านที่ไม่มีบัตรประชาชน ก็ถูกจับ ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนต่างด้าว เป็นต้น"
ขณะที่ผู้แทนเครือข่ายลาวอพยพ กล่าวว่า การเป็นคนไทยไร้สัญชาติสร้างผลกระทบจนถึงรุ่นหลานในทุกมิติ โดยเฉพาะสิทธิในการรักษาพยาบาลและการประกอบอาชีพ เนื่องจากไม่มีที่ทำกินของตนเอง ทำให้คนในพื้นที่ต้องไปบุกรุกที่ดินการไฟฟ้า ส่วนในแง่การศึกษาแม้รัฐบาลจะมีนโยบายให้รับเด็กไร้สัญชาติเข้าเรียน แต่ก็ไม่สามารถกู้ยืมทุนรัฐได้ เด็กจึงมีโอกาสจบเพียงชั้นประถมหรือสูงสุดแค่มัธยมศึกษาตอนต้น ทั้งนี้พระราชบัญญัติ(พ.ร.บ. )สัญชาติฉบับที่ 4 ที่ออกมาช่วยชาวบ้านได้มาก แต่ข้อติดขัดอยู่ที่เจ้าหน้าที่ไม่ยอมปฏิบัติตาม เช่น กฎหมายระบุให้ราชการท้องถิ่นสำรวจข้อมูลผู้ตกหล่นเพื่อดำเนินการตามกระบวนการตั้งแต่ปี 2551 วันนี้ยังไม่มีการสำรวจ
ด้าน นายวีนัท สีสุข ตัวแทนจากกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงปัญหาการตกสำรวจไม่ได้เกิดเฉพาะคนชายขอบ แม้กระทั่งชุมชนเมืองก็มี เพราะจำนวนเจ้าหน้าที่ยังน้อยมากเมื่อเทียบกับความรับผิดชอบและจำนวนผู้ยื่นเรื่องขอสัญชาติ นอกจากนี้ยังมีปัญหาการเดินทาง โดยเฉพาะชุมชนในพื้นที่สูง ซึ่งราชการเข้าไม่ถึง
สำหรับข้อเสนอเพื่อการปฏิรูปปัญหาคนไร้สัญชาติ นายสมชาติ พิพัฒน์ธราดล ตัวแทนมูลนิธิกระจกเงา จังหวัดเชียงราย เสนอ 5 แนวทางหลักคือ 1.จัดการกับกฎหมายและนโยบายที่ยังเป็นอุปสรรคในการแก้ปัญหา 2.การบังคับใช้กฎหมายให้เคร่งครัดจริงจัง 3.สาธารณะต้องมีส่วนร่วมโดยไม่มองเป็นแค่ปัญหาเฉพาะจุด เพราะการไร้สัญชาติเป็นปัญหาของสังคม 4.ให้ความรู้กับประชาชนที่มีปัญหา และ 5.สร้างความร่วมมือที่ดีในการร่วมแก้ไขปัญหา เช่น เชียงรายโมเดล ซึ่งเกิดจากการร่วมลงชื่อตั้งคณะทำงาน มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นหัวเรือขับเคลื่อน
ดร.ทรงวิทย์ เชื่อมสกุล นักวิชาการชำนาญการ จากกระทวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เสนอว่าควรมีการฟื้น "กอง" ชาวเขา ซึ่งเป็นหน่วยงานที่เคยตั้งขึ้นก่อนมีการปฏิรูประบบราชการขึ้นมาดูแลปัญหาดังกล่าว เพราะชาติพันธุ์เป็นเรื่องเฉพาะที่ต้องอาศัยกลไกทำงานแบบพิเศษ มีงบประมาณในการดำเนินงาน หากไทยไม่เห็นความสำคัญเรื่องนี้สะท้อนว่าเป็นประเทศที่ล้าหลังมาก เพราะไม่ให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชน