- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- แรงงานชี้ปฏิรูปประเทศ “ต้องไม่ขายรัฐวิสาหกิจ”
แรงงานชี้ปฏิรูปประเทศ “ต้องไม่ขายรัฐวิสาหกิจ”
เวทีแรงงาน ย้ำชัดปฏิรูปประเทศลดเหลื่อมล้ำ ต้องไม่แปรรูปรัฐวิสาหกิจ เสนอปรับค่าแรงเสรี ชำแหละระบบไตรภาคีทำแรงงานเป็นเครื่องมือการเมือง จี้รัฐทบทวนนโยบายส่งเสริมนักลงทุนข้ามชาติลดทอนพื้นที่เกษตร
วันที่ 24 มี.ค.54 ที่อิมแพ็ค คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ เมืองทองธานี คณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปจัดงานสมัชชาปฏิรูปประเทศไทยระดับชาติครั้งที่ 1 มีประชุมวิชาการ “แรงงานกับโลกาภิวัฒน์” โดย นายสาวิทย์ แก้วหวาน ประธานสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สถานการณ์แรงงานไทยขณะนี้ย่ำแย่มาก นโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมตามโลกาภิวัฒน์ที่พยายามแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ซึ่งนอกจากเป็นผลเสียต่อแรงงานแล้ว ยังทำให้ช่องว่างความเหลื่อมล้ำสูงขึ้น เพราะคนจนต้องอาศัยรัฐวิสาหกิจเป็นหลักการในดำรงชีวิต
“รัฐบาลไม่ควรแปรรูปรัฐวิสาหกิจ เพราะขณะนี้ยังไม่มีหลักประการใดที่บอกว่าคุณภาพชีวิตแรงงานจะดีขึ้น ต่อให้ค่าแรงสูง แต่ถ้าครองชีพค่าน้ำค่าไฟแพง ก็ไม่เป็นผลดี ถ้าจะปฏิรูปประเทศลดความเหลื่อมล้ำ ต้องคงวิสาหกิจไว้” นายสาวิทย์ กล่าว
นายสาวิทย์ กล่าวต่อไปว่า ผลพวงโลกาภิวัฒน์ทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายทุนและแรงงาน จึงควรมีการปรับค่าจ้างให้เท่ากันทุกจังหวัด
นายชาลี ลอยสูง ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย กล่าวว่า ระบบไตรภาคีสร้างความแตกแยกให้แรงงาน เพราะมีกลุ่มที่ต้องการเข้าไปอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวด้วยผลประโยชน์ โดยวิธีพยายามที่จะตั้งสหภาพแรงงานเพิ่มขึ้น ขณะที่ยังไม่มีความเข้มแข็ง สุดท้ายก็กลายเป็นเครื่องมือให้นักการเมืองใช้เป็นฐานเสียงเลือกตั้ง
“สหภาพแรงงานถ้าให้เข้มแข็งจริงควรทำแบบอุตสาหกรรม คือหนึ่งสหภาพแต่ครอบคลุมอุตสาหกรรมได้หลายประเภท แบบนี้จะสร้างอำนาจการต่อรองได้แท้จริง” นายชาลี กล่าว
ส่วนปัญหาค่าแรงขั้นต่ำที่แรงงานเห็นว่าไม่ยุติธรรมนั้น นายชาลี กล่าวว่า เกิดจากนโยบายรัฐที่กดไว้เพื่อประโยชน์ช่วงเลือกตั้ง หากเปิดเป็นค่าจ้างเสรีปรับโครงสร้างค่าจ้างเป็นลำดับขั้นให้ขึ้นอยู่กับศักยภาพผู้ประกอบการ เช่น ค่าจ้างแรกเข้า 215 บาทต่อวัน หากทำงาน 1 ปี ปรับขึ้นให้ตามความเหมาะสมตรงนี้จะเกิดความยุติธรรมมากกว่า
นายชาลี ยังกล่าวว่า อีกปัญหาหลักที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในยุคโลกาภิวัฒน์คือการเพิ่มขึ้นของนักลงทุนข้ามชาติ ซึ่งนโยบายส่งเสริมการลงทุนของรัฐมีผลอย่างมาก ซึ่งจะสร้างผลกรทบตามมาคือพื้นที่ทำการเกษตรจะลดลง เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม ส่วนแรงงานจะได้แต่ค่าแรงราคาถูก
“ต่อไปแรงงานไทยจะตายผ่อนส่ง เพราะจะถูกกดขี่และทำงานแบบมาตรฐานดีแต่ค่าจ้างต่ำ ยิ่งระบบสวัสดิการหรือประกันสังคมไม่ปรับเปลี่ยน ยังไม่มีกองทุนประกันความเสี่ยงด้วย ค่อนข้างลำบาก” นายชาลี กล่าว
น.ส.จิตรา คชเดช อดีตประธานสหภาพแรงงานไทรอัมพ์ กล่าวว่าทางออกในการแก้ปัญหาแรงงานที่สำคัญคือการตั้งสหภาพแรงงานเป็นอิสระ ปลอดจากการควบคุมของรัฐ ซึ่งทุกวันนี้ยังผูกโยงอยู่กับกระทรวงแรงงานเป็นหลัก นอกจากนี้ยังต้องยุติการการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ และเรียกเงินจากนักลงทุนมาสนับสนุนกองทุนหลักประกัน พร้อมทั้งปรับระบบประกันสังคมให้จ่ายเงินชดเชยจนกว่าจะหางานใหม่ได้
น.ส.จิตรา กล่าวด้วยว่า อยากให้รัฐเห็นความสำคัญของแรงงานข้ามชาติที่เข้ามาทำงานในไทยด้วย เพราะทุกวันนี้ยังมีผู้ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนอยู่ ขณะเดียวกันแม้รัฐบาลจะให้งบประมาณสนับสนุนกับคณะกรรมการปฏิรูปทั้ง 2 ชุด (คปร. และ คสป.) เป็นจำนวนเงินถึง 600 ล้านบาท เพื่อเข้ามาแก้ไขปัญหาประเทศไทย แต่ก็เห็นมีเพียงข้อเสนอในเอกสารซ้ำไปซ้ำมา จะใหม่ก็แค่เพียงรูปลักษณ์ ไม่เห็นเกิดประโยชน์อะไรกับแรงงานแม้แต่น้อย
สำหรับข้อเสนอให้ตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาดูแลแรงงานโดยเฉพาะ น.ส.ปราณี ขันแก้ว ประธานสหภาพแรงงานเอซีจี กล่าวว่า เป็นสิ่งดีและท้าทาย เพราะแรงงานทักษะดีความสามารถสูงมีจำนวนมาก หากดูแลกันได้น่าจะดี แรงงานไทยยุคนี้ต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัว ที่สำคัญรัฐบาลไทยต้องให้ความสำคัญกับมาตรฐานแรงงาน โดยพัฒนาให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ทั้งนี้ยังได้เสนอรูปแบบแรงงานสัมพันธ์ ให้นายทุนแบ่งสันปันส่วนประโยชน์ที่ได้ไม่ว่ารูปใดให้ลูกจ้างอย่างเป็นธรรมด้วย.