- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- ‘มิ่งสรรพ์’ หนุนสร้างระบบเก็บภาษีผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย
‘มิ่งสรรพ์’ หนุนสร้างระบบเก็บภาษีผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย
ดันพ.ร.บ. มาตรการการคลังเพื่อสิ่งแวดล้อมฯ สร้างแรงจูงใจลดปริมาณมลพิษสิ่งแวดล้อม ด้าน ‘ดร.ภูรี’ แนะกลไกเครื่องมือการคลังเพิ่มเม็ดเงินหนุนนโยบายปฏิรูปประเทศ
วันที่ 24 มีนาคม แผนงานสร้างเสริมนโยบายสาธารณะที่ดี (นสธ.) และสถาบันศึกษานโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) จัดเวทีเสวนา “ความยุติธรรมด้านสิ่งแวดล้อม: ภาษีและค่าภาคหลวง” ในงานสมัชชาปฏิรูประดับชาติ ครั้งที่ 1 โดยมี ศ.ดร.มิ่งสรรพ์ ขาวสอาด ผู้อำนวยการแผนงานสร้างเสริมนโยบายสาธารณะที่ดี (นสธ.) สถาบันศึกษานโยบายสาธารณะ มช. และผศ.ดร.ภูรี สิรสุนทร คณะเศรษฐศาสตร์ มช.เป็นวิทยากร ณ ห้องปฏิรูปที่ 5 ศูนย์ประชุมอิมแพค เมืองทองธานี
ลดเหลื่อมล้ำ ด้วยพ.ร.บ.มาตรการการคลังเพื่อสิ่งแวดล้อมฯ
ศ.ดร.มิ่งสรรพ์ กล่าวถึงปัญหามาบตาพุดเป็นกรณีศึกษาที่สะท้อนให้เห็นว่า มีจำนวนโรงงานมากเกินกว่ากำลังของธรรมชาติ ขณะเดียวกันวิธีที่รัฐเข้าไปจัดการ เป็นการจัดการเฉพาะโครงการแต่ละโรงงานจึงทำให้ยังอยู่ในมาตรฐาน ซึ่งหากพิจารณาภาพรวมจะเห็นว่า ยังมีช่องว่างทางนโยบาย ที่รัฐยังไม่ได้สร้างระบบให้ผู้สร้างมลพิษเป็นผู้จ่ายภาษีคืนสู่สังคม
“ช่องว่างทางนโยบาย คือ รัฐไม่ได้ใช้หลักผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย มีเพียงระบบกำกับเฉพาะโรงงานเท่านั้น อีกทั้งองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นยังอ่อนแอ มุ่งหาฐานเสียง และมีระบบกำกับที่หย่อนยาน ดังนั้นจึงต้องการกลไกและเครื่องมือใหม่ที่ทำให้ทุกโรงงานลดมลพิษ แม้จะปล่อยมลพิษตามมาตรฐาน ตามหลักการและเหตุผลในร่าง พ.ร.บ.มาตรการการคลังเพื่อสิ่งแวดล้อม พ.ศ. .... ที่เขียนกฎหมายเก็บภาษีจากผู้ก่อมลพิษ เช่น ผู้ประกอบการโรงงานจำพวกที่ 3 ตามประเภท ชนิด และขนาดที่ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมกำหนด และนำค่าความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมนั้นมาใช้ในการจัดการสิ่งแวดล้อม ”
ศ.ดร.มิ่งสรรพ์ กล่าวถึง พ.ร.บ. มาตรการการคลังเพื่อสิ่งแวดล้อม พ.ศ. .... มีแนวคิดหลักที่ไม่รื้อกฎหมายที่มีอยู่ แต่จะเสริมเครื่องมือใหม่ให้หน่วยงานเป็นกฎหมายแบบบูรณาการ เพื่อสร้างกติการ่วมกันในการจัดสรรเงินภาษีและค่าธรรมเนียมจากสิ่งแวดล้อม รวมทั้งก่อให้เกิดแรงจูงใจในการลดปริมาณมลพิษในสิ่งแวดล้อม (Pollution Load) ในระยะยาว”
ภาษีปิโตรเลียมเพื่อการปฏิรูป
ด้านผศ.ดร.ภูรี กล่าวว่า ปัญหาหนึ่งที่ถ่วงการขับเคลื่อนในการสร้างสวัสดิการสังคมที่สมัชชาปฏิรูปประเทศไทยกำลังจะผลักดันอยู่นั้น คือ การขาดงบประมาณในการผลักดันนโยบาย และทางหนึ่งที่จะดึงเม็ดเงินได้คือการจัดสรรระบบการคลังปิโตรเลียม
“ส่วนแบ่งรายได้ที่รัฐได้รับจากกิจการปิโตรเลียมในปี 2552 จากค่าภาคหลวง 37.7 พันล้านบาท แบ่งเป็นแหล่งในทะเล 34.3 พันล้านบาทนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน แหล่งบนบก 3.4 พันล้านบาท นำส่งคลัง 40% ส่งอบจ. 20% ส่งอบต. 20% ส่งเทศบาล 10% ในพื้นที่ผลิตปิโตรเลียม และส่งให้เทศบาลอื่น ๆ 10% และส่วนแบ่งรายได้ที่รัฐได้รับจากกิจการปิโตรเลียม ผลประโยชน์พิเศษ (จัดเก็บโดยกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน) ปี 2552 เก็บรวมได้ 529,110.72 บาท”
ผศ.ดร.ภูรี กล่าวต่อว่า การเก็บค่าภาคหลวงจะทำให้รัฐได้รับส่วนแบ่งรายได้ลดน้อยลง เมื่อผู้ประกอบการสามารถลดต้นทุนได้ ไม่ว่าจะมีส่วนแบ่งกำไรหรือไม่ก็ตาม ทั้งนี้ประเทศกัมพูชา เก็บค่าภาคหลวงต่ำกว่าไทย ส่วนประเทศอินโดนีเซียไม่ได้เก็บค่าภาคหลวง แต่เก็บส่วนแบ่งกำไร ซึ่งประเทศเหล่านี้เก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลต่ำกว่าที่ไทยเก็บภาษีเงินได้ปิโตรเลียม
ผศ.ดร.ภูรี กล่าวถึงสิ่งที่ระบบการคลังปิโตรเลียมควรคำนึงถึง ได้แก่ ความสามารถในการแบ่งส่วนกำไร ที่ยืดหยุ่นแปรผันตามปริมาณการผลิต การประกันส่วนแบ่งรายได้ให้แก่รัฐ ที่มีช่องทางเข้าถึงส่วนแบ่งรายได้ได้หลายทาง การสร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการมาลงทุนและไม่กีดกันการลงทุน และสร้างแรงจูงใจในการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ แม้ในปัจจุบันส่วนแบ่งรายได้ของรัฐจะยังน้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้าน แต่สามารถปรับเก็บให้รัฐมีส่วนแบ่งรายได้เพิ่มขึ้นได้ เพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาด้านต่างๆ ที่สร้างความเหลื่อมล้ำในประเทศไทย ซึ่งกลไกในการปรับเก็บ ได้แก่ การพัฒนาเครื่องมือทางการคลัง อาทิ การแบ่งส่วนกำไรระหว่างรัฐและเอกชน (Profit split) ที่เป็นอัตราแบบขั้นบันได
“การใช้เครื่องมือการคลังในลักษณะนี้รัฐจะสามารถเก็บส่วนแบ่งได้เป็น 2 ส่วน โดยส่วนแรกจะทำการตกลงเก็บตามกำไร และส่วนที่สองจะเก็บตามภาษีแบบปกติ ซึ่งจะทำให้รัฐมีเม็ดเงินเพิ่มขึ้นในการใช้จ่ายเพื่อผลักดันการปฏิรูปประเทศ โดยเฉพาะการสร้างสวัสดิการสังคม”