- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- ทีดีอาร์ไอเสนอยกเครื่อง กม.แข่งขันการค้า ป้องกันการผูกขาด
ทีดีอาร์ไอเสนอยกเครื่อง กม.แข่งขันการค้า ป้องกันการผูกขาด
ทีดีอาร์ไอฉายภาพความเหลื่อมล้ำในภาคธุรกิจ บริษัทเครือยักษ์ 20% กุมรายได้ 86% ขณะที่ 12 ปีพ.ร.บ.ควบคุมการผูกขาดการค้าเป็นดาบทื่อเพราะการเมือง-ผลประโยชน์แทรก แนะแปลงสภาพเป็นองค์กรอิสระเหมือน กสทช.
วันที่ 25 มี.ค.54 ดร.เดือนเด่น นิคมบริรักษ์ ผู้อำนวยการด้านการบริหารจัดการระบบเศรษฐกิจ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(ทีดีอาร์ไอ) บรรยายเรื่อง “ลดผูกขาด ลดเหลื่อมล้ำ เพิ่มความเป็นธรรม” ในงานสมัชชาปฏิรูประดับชาติครั้งที่ 1 ที่อิมแพค เมืองทองธานี ว่ามีความเหลื่อมล้ำในภาคธุรกิจไทย คือการกระจุกตัวของรายได้ในไม่กี่กลุ่มบริษัทเพิ่มมากขึ้นทุกปี เฉพาะธุรกิจที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พบว่าในปี 2551 ธุรกิจขนาดใหญ่จำนวน 20% กุมสัดส่วนรายได้มากถึง 86% ขณะที่ธุรกิจขนาดกลาง 60% มีสัดส่วนรายได้เพียง 13% ส่วนธุรกิจขนาดเล็ก 20% มีสัดส่วนรายได้ 0.53%
ซึ่งธุรกิจผูกขาดเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มพลังงาน และมีการสื่อสาร ธนาคารบ้าง นอกจากนี้ยังพบว่าบรรดา 20 อันดับธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีการผูกขาดส่วนใหญ่เป็นรัฐวิสาหกิจและมีสัดส่วนรายได้มากถึง 52% เฉพาะ ปตท.มีสัดส่วนรายได้ถึง 45%
ดร.เดือนเด่น กล่าวว่าไทยมีพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ.2542 ที่กำหนดเกณฑ์ธุรกิจที่มีอำนาจเหนือตลาด(มีส่วนแบ่งตลาดเกิน 50% และยอดขายตั้งแต่ 1,000 ล้านบาท) กำหนดส่วนแบ่งตลาด ยอดขาย จำนวนทุน-หุ้น-สินทรัพย์ และเงื่อนไขการควบรวมธุรกิจ ตลอดจนบทบัญญัติป้องกันการผูกขาด เช่น ห้ามกำหนดราคา ปริมาณ เงื่อนไขที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภคหรือคู่แข่งขัน กฏหมายฉบับนี้มีวัตถุประสงค์ป้องกันการผูกขาด ซึ่งจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำในสังคม แต่ในทางปฏิบัติไม่มีประสิทธิภาพ
“จำนวนเรื่องร้องเรียน 12 ปีที่ผ่านมา 74 ราย(37 บริษัท) มีการดำเนินคดีทางกฏหมายเพียงกรณีเดียวคือฮอนด้าห้ามเอเย่นต์ขายสินค้าของคู่แข่ง แต่อัยการสั่งไม่ฟ้องเพราะผิดขั้นตอน กรณีขายเหล้าพ่วงเบียร์พบว่ามีความผิด แต่ขณะนั้นยังไม่มีเกณฑ์อำนาจเหนือตลาด จึงไม่สามารถดำเนินคดีได้ กรณี UBC กำหนดค่าบริการรายเดือนสูงเกินควร กลับมีมติให้ อสมท.ผู้ให้สัมปทานไปพิจารณาเอง กรณีอื่นๆพบว่าไม่มีความผิด”
ดร.เดือนเด่น กล่าวว่าสาเหตุที่กฏหมายดังกล่าวไม่มีประสิทธิภาพเพราะ 1.คณะกรรมการขาดความเป็นอิสระ ถูกครอบงำทางการเมืองและผลประโยชน์ธุรกิจ โดยโครงสร้างประกอบด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน ปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นรองประธาน ปลัดกระทรวงการคลังและผู้ทรงคุณวุฒิไม่เกิน 12 คนที่คณะรัฐมนตรีแต่งตั้งจากภาคเอกชนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง โดยส่วนหนึ่งให้สภาหอการค้าและสภาอุนอตสาหกรรมเสนอรายชื่อ อีกส่วนให้กระทรวงการคลังและกระทรวงพาณิชย์เสนอชื่อ
2.ขาดกฏระเบียบในการบังคับใช้กฏหมาย ขาดงบประมาณและบุคลากร 3.กรอบภารกิจไม่ครอบคลุมรัฐวิสาหกิจซึ่งเป็นธุรกิจผูกขาด ไม่ครอบคลุมพฤติกรรมการค้าที่ไม่เป็นธรรมส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค 4.บทลงโทษไม่เหมาะสมกับความเสียหาย (โทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 6 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
“เสนอปรับปรุงกฏหมาย ให้สำนักงานเป็นองค์กรอิสระ คล้ายกับคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) ที่ปลอดการเมือง ผู้มีผลประโยชน์ทางธุรกิจ ยกเลิกข้อยกเว้นที่ให้แก่รัฐวิสาหกิจ กำหนดบทบัญญัติเพิ่มเติมเพื่อให้การดำเนินงานโปร่งใส และขยายกรอบภารกิจให้มีบาทบาทร่วมกำหนดนโยบายประเทศที่จะมีผลกระทบต่อโครงสร้างการแข่งขันในตลาด” ดร.เดือนเด่น กล่าว