- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- ปัญหาผังเมืองแก้ได้ อาจารย์จุฬาฯ แนะจับไปวางให้ถูกที่ถูกทาง
ปัญหาผังเมืองแก้ได้ อาจารย์จุฬาฯ แนะจับไปวางให้ถูกที่ถูกทาง
ดร.พนิต แนะการทำแผนพัฒนาประเทศ กับผังประเทศ ต้องอยู่ด้วยกัน ชี้จุดผิด อยู่ที่โครงสร้าง ปล่อย “กรม” ทำ “ศรีราชา เจริญพานิช” ลั่นวางผังเมืองต้องยึดประโยชน์ชาติเป็นหลัก หนุนจัดโซนนิ่งพื้นที่เกษตร แยกขาดจากนิคมอุตสาหกรรม
วันที่ 25 มีนาคม เครือข่ายรักแม่พระธรณี ร่วมกับ ภาควิชาการวางแผนภาคและเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดประชุมวิชาการหัวข้อ ผังเมืองที่เป็นธรรม: การมีส่วนร่วมของประชาชนในการวางผังเมือง ภายในงานสมัชชาปฏิรูประดับชาติ ครั้งที่ 1 ณ ฮอลล์ 9 อิมแพค เมืองทองธานี โดยมี ผศ.ดร.พนิต ภู่จินดา อาจารย์ภาควิชาการวางแผนภาคและเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศ.ศรีราชา เจริญพานิช ผู้ตรวจการแผ่นดิน รศ.ต่อตระกูล ยมนาค อดีตนายกสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ และนางภารนี สวัสดิ์รักษ์ เครือข่ายวางแผนและผังเมืองเพื่อสังคม ร่วมเสวนา
ผศ.ดร.พนิต กล่าวถึงการพัฒนาผังเมืองที่เป็นธรรมตามหลักวิชาการ ประการแรกจะต้องทำความเข้าใจ ความหมายของคำว่า ‘แผน’ กับ ‘ผัง’ เสียก่อน โดยแผนเป็นตัวกำหนดทิศทางในการพัฒนา ส่วนผังคือการจัดเตรียมระบบเชิงพื้นที่ในการรองรับแผนการพัฒนาและมีลักษณะเป็นปลายน้ำ
“กระบวนการพัฒนาผังเมือง ในยุคแรก “ข้ามาคนเดียว” นักวางผังเมืองจะเป็นผู้วางแผนพัฒนาแบบเบ็ดเสร็จ ยุคที่สอง “สหบาทา” ผังเมืองจะถูกวางแผนจากผู้เชี่ยวชาญที่มีความหลากหลาย และยุคที่สาม “ประชาร่าเริง” ผู้มีส่วนได้เสียจะเข้ามามีบทบาท มีส่วนร่วมในการวางแผนพัฒนาเมือง โดยกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียดังกล่าว ประกอบไปด้วย 1.ภาครัฐ ซึ่งทำหน้าที่ในการจัดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อสนับสนุนการพัฒนา 2.ภาคธุรกิจ ซึ่งเป็นผู้ใช้ประโยชน์จากดำเนินงานของรัฐ โดยเสียภาษีเป็นการตอบแทน 3.ภาคสาธารณะ คือกลุ่มคนที่มีความคิดเห็นเช่นเดียวกัน ซึ่งจะรวมตัวกันเพื่อต่อรอง และ4.ปัจเจก
ผศ.ดร.พนิต กล่าวว่า ประเทศไทยการพัฒนายังติดขัดและก้าวไปไม่ถึงยุคที่สามเสียที ซึ่งกระบวนการวางแผนและผังเมืองต้องเริ่มตั้งแต่ระดับชุมชน เมือง จังหวัด กลุ่มจังหวัด ภาค และไปสิ้นสุดที่ระดับประเทศ โดยภาคประชาชนสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมได้เท่าที่ พ.ร.บ.ผังเมือง พ.ศ.2518 ระบุไว้ ขณะเดียวกันยังสามารถมีส่วนร่วมระดับนโยบายได้โดยอ้อม ผ่านกลไกการเลือกตั้ง
“นักการเมืองในอเมริกาใช้นโยบายในการหาเสียง ซึ่งเมื่อรับตำแหน่งก็จะเขียนแผนพัฒนาตามนโยบายดังกล่าว แต่ประเทศไทยกลับไม่เป็นเช่นนั้น นักการเมืองที่มีวาระ 4 ปีไม่สามารถสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีประสิทธิภาพ ฉะนั้น การปฏิรูปที่สร้างเป็นธรรมจึงต้องปรับแก้ที่โครงสร้าง โดยเฉพาะ การทำแผนพัฒนาประเทศ กับผังประเทศต้องอยู่ด้วยกัน จุดผิดของการวางผังเมือ คือ โครงสร้างให้ “กรม” ทำผังประเทศ” ผศ.ดร.พนิต กล่าว และว่า หากเราจะปฏิรูปต้องบอกว่า คนทำแผน กับคนทำผังต้องอยู่ด้วยกัน ระดับเมืองต้องให้ อปท.ทำ
ขณะที่ ศ.ศรีราชา กล่าวถึงกฎหมายผังเมือง แค่เริ่มต้นก็นำไปสู่ภาพความขัดแย้งแล้ว เพราะกฎหมายนั้นหมายถึงสภาพบังคับที่ทำให้มีคนได้ คนเสียประโยชน์ โดยเฉพาะในประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศที่ให้กรรมสิทธิ์กับประชาชนมากเกินไป หากเทียบกับต่างประเทศที่ให้เพียงสิทธิเท่านั้น
“การที่ประเทศไทยมีผังเมืองเกิดขึ้น ย่อมสร้างความไม่พอใจให้กับผู้ได้รับผลกระทบ แต่เมื่อสิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงคือผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ การมีผังเมืองจึงนับว่ามีผลดีมากกว่า ดังนั้นหากคิดทำผังเมืองประเทศ โจทย์ง่ายๆ 1.ต้องรักษาเขตอนุรักษ์ 25 ลุ่มน้ำให้เป็นแหล่งผิดน้ำ 2.จัดสร้างพื้นที่กักเก็บปริมาณน้ำฝน 3.จัดโซนนิ่งพื้นที่การเกษตร จำกัดอุตสาหกรรมให้อยู่ในเขตอุตสาหกรรมเท่านั้น” ศ.ศรีราชา กล่าว และว่า ผังเมืองจะต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติและคนส่วนใหญ่ ไม่ใช่ประโยชน์ของคนกลุ่มน้อย เนื่องจากสิทธิมนุษยชนที่ดีจะต้องไม่กระทบสิทธิมหาชน
ส่วนรศ.ต่อตระกูล กล่าวถึงการทำผังประเทศ หากไม่มีความโปร่งใส ต่อไปคงมีการกักตุนที่ดิน พร้อมยกกรณีการวางผังเมืองของประเทศต่างๆ รวมทั้งทางคมนาคม เช่น การตัดถนนผ่านอำเภอสตึก ที่จังหวัดบุรีรัมย์ ที่ไม่ได้ผ่านการมีส่วนร่วมของประชาชน เปรียบเทียบกับถนนเฉพาะคนเดิน ที่มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งมีการวางผังที่ดี คำนึงถึงผู้ใช้ส่วนใหญ่
ด้านนางภารนี กล่าวว่า ผังเมืองเป็นหนึ่งในโยบายสาธารณะที่ภาคประชาชนต้องเข้าไปมีส่วนร่วม เนื่องจากที่ผ่านมา พบว่า การวางผังเมืองสร้างผลกระทบและลิดรอนสิทธิประชาชน ยกตัวอย่างเช่น นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง ที่เกิดปัญหามากมายกระทั่งทุกวันนี้
นางภารนี กล่าวด้วยว่า การจัดทำผังเมืองในลักษณะแผนที่ทางเทคนิค ซึ่งขีดพื้นที่เป็นสีเขียว สีแดง เพื่อแทนพื้นที่โซนต่างๆ นั้น ชาวบ้านไม่เข้าใจ เนื่องจากความรับรู้และการศึกษาที่ต่างกัน อีกทั้งยังขาดกระบวนการในการเรียนรู้ จึงทำให้เป็นข้อจำกัดในการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน