- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- ธนาคารโลก เผย ปชช.กว่าพันล้านคน อยู่ในวงจรความรุนแรง-อาชญากรรม
ธนาคารโลก เผย ปชช.กว่าพันล้านคน อยู่ในวงจรความรุนแรง-อาชญากรรม
แนะ รัฐบาลเร่งพัฒนาสถาบันระดับชาติให้มีความชอบธรรม โปร่งใส มีศักยภาพในการสร้างความปลอดภัย ความเป็นธรรม รวมทั้งสร้างอาชีพให้กับประชาชน
เมื่อเร็วๆ นี้ นายโรเบิร์ต บี. เซลลิค ประธานธนาคารโลก กล่าวถึงรายงานการพัฒนาโลกปี 2554 ความขัดแย้ง ความมั่นคง และการพัฒนาของธนาคารโลกว่า มีประชากรกว่า 1,500 ล้านคนอาศัยอยู่ในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากวงจรความรุนแรงทางการเมืองและอาชญากรรม ทำให้เกิดความตึงเครียด ทั้งจากภายในและนอกประเทศ อาทิ การว่างงานของเยาวชน ความไม่มั่นคงทางรายได้ ความตึงเครียดระหว่างกลุ่มเชื้อชาติ ฯ ขณะเดียวกันพบว่า ประเทศที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งหรือมีรายได้ต่ำ จะไม่สามารถบรรลุเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ การฟื้นฟู การแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจ การเมืองได้ นอกจากนี้ยังเป็นกับดักให้ประเทศที่มีความเปราะบางไม่สามารถหลุดพ้นจากวงจรความรุนแรง
“หากต้องการยุติวงจรความรุนแรง ลดระดับความตึงเครียด รัฐบาลจะต้องพัฒนาสถาบันระดับชาติให้มีความชอบธรรม มีความโปร่งใส มีศักยภาพในการสร้างความปลอดภัย ความเป็นธรรม และการมีงานทำให้แก่ประชาชน”ประธานธนาคารโลก กล่าว และว่า ประเด็นด้านความมั่นคงและการพัฒนาต้องได้รับการพิจารณาไปพร้อม ๆ กัน เนื่องจากความเสี่ยงที่จะเกิดความรุนแรงมีสูง เมื่อเกิดความตึงเครียด ความด้อยศักยภาพ หรือการขาดความชอบธรรมของสถาบันระดับชาติ ซึ่งสังเกตได้จากความวุ่นวายในทวีปตะวันออกกลางและทวีปแอฟริกาเหนือในช่วงที่ผ่านมา
“ประเทศที่ความรุนแรงหยั่งลึกสูญเสียโอกาสในการพัฒนาอย่างมาก และมีอัตราความยากจนที่สูงกว่าประเทศที่สามารถลดระดับความรุนแรงได้ถึงร้อยละ 20”
ขณะที่นายจัสติน ลิน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์และรองประธานอาวุโสด้านเศรษฐศาสตร์การพัฒนา ธนาคารโลก กล่าวว่าในช่วง 60 ปีที่ผ่านมา ประเทศส่วนใหญ่มีความก้าวหน้าอย่างมากในการลดความยากจน แต่ประเทศที่มีสภาวะทางการเมืองไม่มั่นคงและมีปัญหาความรุนแรง กลับไม่มีความก้าวหน้า และยังขาดการพัฒนาในเชิงการเติบโตทางเศรษฐกิจและตัวชี้วัดการพัฒนามนุษย์
“การยับยั้งวงจรความรุนแรง จึงต้องอาศัยการพัฒนาศักยภาพ ความชอบธรรมของสถาบันระดับชาติและการพัฒนาการปกครอง รวมทั้งความพยายามในการสร้างความร่วมมือทางการเมืองที่มีความครอบคลุมอย่างเพียงพอ เพื่อผลักดันการเปลี่ยนแปลง” นายจัสติน ลิน กล่าว และว่า การปฏิรูปองค์กรอย่างแท้จริงจำเป็นต้องอาศัยเวลา ซึ่งโดยทั่วไปการปฏิรูปสถาบันระดับชาติที่อ่อนแอหรือขาดความชอบธรรม ให้ทานทนต่อความรุนแรงและความไม่มั่นคงได้นั้น จะต้องใช้เวลาประมาณ 15-30 ปีกว่าจะประสบความสำเร็จ แต่อย่างไรก็ตาม ประเทศที่ต้องการลดระดับความรุนแรง ล้วนต้องผ่านขั้นตอนในการปฏิรูปสถาบันทางการเมือง สถาบันความมั่นคงและสถาบันทางเศรษฐกิจทั้งสิ้น
ด้าน ดร.ซาร่า คลิฟ ผู้อำนวยการร่วมและผู้แทนพิเศษของรายงานการพัฒนาโลก กล่าวว่า ผู้นำระดับชาติและระดับโลกจำเป็นต้องมีวิธีที่ดีกว่านี้ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการมีงานทำและความยุติธรรมของประชาชน ไม่ว่าจะในทวีปแอฟริกาเหนือ สาธารณรัฐโกตดิวัวร์ หรือสาธารณรัฐเฮติ ขณะเดียวกัน ประชาคมโลกควรมุ่งให้ความช่วยเหลือ เพื่อสร้างความมั่นคง ความยุติธรรม และการมีงานทำให้แก่ประชาชนในกลุ่มประเทศที่มีสถานการณ์สุ่มเสี่ยง โดยอาศัยการปฏิรูปกระบวนการทำงานขององค์กรระหว่างประเทศ ความตื่นตัวและการตอบสนองในระดับภูมิภาค รวมทั้งส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกลุ่มประเทศรายได้น้อย กลุ่มประเทศกำลังพัฒนาและกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว เพื่อสนับสนุนการพัฒนาในด้านความยุติธรรมและการเติบโตทางเศรษฐกิจ
สำหรับข้อเสนอแนะให้มีการปรับปรุงด้านการให้ความช่วยเหลือจากนานาประเทศนั้น ดร.ซาร่า คลิฟ กล่าวว่า ประกอบด้วย 1.จัดหาความช่วยเหลืออย่างมีบูรณาการในการสร้างความมั่นคง ความเป็นธรรมและการมีงานทำให้แก่ประชาชน รวมทั้งให้ความช่วยเหลือที่มากขึ้น สำหรับการสร้างงาน สร้างธรรมาภิบาลให้แก่องค์กรตำรวจและระบบความยุติธรรม 2.การปฏิรูประบบภายในขององค์กร เพื่อสนับสนุนการดำเนินงาน สร้างความมั่นใจให้กับสถาบันในระยะยาว โดยปฏิรูปด้านงบประมาณ บุคลากร และกระบวนการบริหารจัดการขององค์กรระหว่างประเทศให้มีความรวดเร็วและต่อเนื่องมากขึ้น
“3.การดำเนินงานในระดับภูมิภาค ระดับนานาชาติที่เกี่ยวกับความตึงเครียด ทั้งจากภายในและภายนอก ซึ่งส่งผลกระทบต่อรัฐที่มีความอ่อนแอ จากแนวโน้มการทุจริต การค้ามนุษย์ และความมั่นคงทางด้านอาหารในระดับโลก 4.การสร้างจุดยืนร่วมกันของนานาประเทศเกี่ยวกับวิถีปฏิบัติของการเป็นผู้นำที่มีความรับผิดชอบและส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความรู้ที่ได้มาจากประสบการณ์ของประเทศที่มีรายได้ปานกลาง”