- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- การเมืองระยะเปลี่ยนผ่าน "นิธิ" ย้ำหมดยุคการเมืองของชนชั้นนำแล้ว
การเมืองระยะเปลี่ยนผ่าน "นิธิ" ย้ำหมดยุคการเมืองของชนชั้นนำแล้ว
อดีตกรรมการปฏิรูป ชี้การเมืองไทยไม่สามารถกีดกันให้เป็นการเมืองของคนชั้นนำอย่างที่เคยเป็นได้อีก วันนี้จำเป็นต้องเปิดพื้นที่ให้คนกลุ่มใหม่เข้ามามีบทบาท -กำหนดนโยบายสาธารณะ เพื่อลดความขัดแย้ง
เมื่อเร็วๆ นี้ สถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย โดยการสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดอบรมหลักสูตรผู้บริหารการสื่อสารมวลชนระดับสูง (บสส.) รุ่นที่ 3 โดยมีศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ นักวิชาการอิสระ และอดีตกรรมการปฏิรูป บรรยายในหัวข้อ "วัฒนธรรมไทยกับประชาธิปไตยไทย" ณ อาคารสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
ศ.ดร.นิธิ กล่าวตอนหนึ่งถึงวัฒนธรรมทางการเมืองหลังปี 2475 ได้เปลี่ยนบทบาทของคนชั้นกลางในทางการเมือง โดยเฉพาะหลังจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นต้นมา ได้สร้างคนชั้นกลางรุ่นใหม่ในสังคมไทยขึ้นมาจำนวนมาก และคนเหล่านี้ถูกผลักให้เข้ามาในพื้นที่ทางการเมืองของประเทศ
“คนชั้นกลางที่เกิดใหม่ค่อยๆ เข้ามาเป็นผู้ครองงำวัฒนธรรม ความใฝ่ฝัน มาตรฐาน ของสังคมไทยโดยทั่วไปหมด แม้แต่คนที่ไม่ใช่คนชั้นกลางในชนบท ก็ฝันอยากมีวิธีชีวิต ให้คนนับถือ นี่คืออำนาจครอบงำคนชนชั้นกลางที่มีอยู่สูง”
อดีตกรรมการปฏิรูป กล่าวถึงลักษณะสำคัญของคนชั้นกลางไทย ว่า 1.เป็นคนที่เชื่อในกฎหมาย เชื่อในการจัดสังคมที่ไม่เสมอภาค เชื่อในสังคมที่ต้องมีหัวมีก้อย มีลำดับชั้น 2. เชื่อในเรื่องความสงบเรียบร้อย แต่ยอมรับให้เกิดการเคลื่อนไหว การกบฎได้ ขออย่าให้อยู่ที่ศูนย์กลาง 3.เชื่อในอำนาจที่เป็นอาญาสิทธิ์ มีกฎหมาย มีวัฒนธรรมประเพณีรองรับ มีศูนย์กลางอยู่ที่พระมหากษัตริย์ เชื่อหรือชอบอำนาจ หรืออาญาสิทธิ์ทีเด็ดขาด ในลักษณะอำนาจนิยม 4. เชื่อในความเป็นนานาชาติ หรือนานาชาตินิยม 5.เชื่อในความไพบูลย์ทางเศรษฐกิจ มีความหมายทางวัตถุเป็นส่วนใหญ่ 6. เชื่อในวิทยาศาสตร์โบราณ ที่สามารถพิสูจน์ได้ชัด จึงไม่สามารถเข้าใจปัญหาต่างๆที่ไม่สามารถแสดงออกด้วยเหตุและผล 7.คนชั้นกลางเชื่อในเทคโนโลยี และ 8.รักชาติฉิบเป๋ง รักชาติมาก แต่ชาติในความคิดเป็นชาติที่ลงรอยกัน อันหนึ่งอันเดียวกันจนกระทั่งอันตราย เพราะทำให้ชาติไทยไม่มีพลังในการรับความหลากหลายทางวัฒนธรรม
ขณะที่ปัจจุบันสังคมไทยเปลี่ยนไป และกำลังอยู่ในระยะเปลี่ยนผ่าน โดยเฉพาะความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับคนชั้นกลางไทยที่ขยายตัวในระยะที่ 20 ปีที่ผ่านมา ออกมาเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่อยู่ในตลาดข้างล่างนั้น ศ.ดร.นิธิ กล่าวว่า เราจึงไม่สามารถเอาคำตอบเก่ามาตอบปัญหาได้อีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการรัฐประหาร การปรองดอง สังคมกำลังต้องการคำตอบที่ไม่เหมือนเก่า
“กรณีสังคมเปลี่ยน คนชั้นกลางรุ่นใหม่ สมัยหนึ่งไม่สนใจนโยบายของรัฐบาลกลาง ปัจจุบันไม่ใช่ เช่น หากขับแท็กซี่ นโยบายเรื่องแก๊ส มีผลกระทบโดยตรง แม้แต่คนในต่างจังหวัด นโยบายเรื่องข้าว หมู ก็ส่งผลกระทบหมด การบอกว่า การเมืองเป็นเรื่องของคนชั้นนำ จึงเป็นไปไม่ได้ เพราะคนเหล่านั้นก็อยากเข้ามามีส่วนร่วมในทางการเมือง เข้ามากำหนดนโยบายสาธารณะ ซึ่งในระยะเปลี่ยนผ่านทางการเมืองความขัดแย้งจึงมีสูงมาก”
อดีตกรรมการปฏิรูป กล่าวต่อว่า การเมืองระยะเปลี่ยนผ่านต้องเปิดพื้นที่ทางการเมืองให้คนหน้าใหม่เข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายสาธารณะ การเมืองไทยไม่สามารถกีดกันให้เป็นการเมืองของคนชั้นนำอย่างที่เคยเป็นมาหลายร้อยปีได้อีก ซึ่งจำเป็นต้องเปิดพื้นที่ให้คนกลุ่มใหม่เข้ามามีบทบาททางการเมือง แต่จะเปิดอย่างไร ต่อรองอย่างไร นี่คือคำถามใหม่ ที่นักการเมือง คนชั้นนำยังไม่มีคำตอบ
ทั้งนี้ ในช่วงท้ายการบรรยาย อดีตกรรมการปฏิรูป กล่าวถึงวัฒนธรรมการชุมนุมเพื่อต่อรองทางการเมืองที่ระบาดไปทั่วโลก พร้อมเปรียบเทียบกับการชุมนุมบนท้องถนนในเมืองไทยว่า อย่ามองเป็นอื่น ๆ มากกว่าการต่อรองทางการเมือง ส่วนการณรงค์โหวตโน ก็เชื่อว่าจะไม่เกิดผลอะไรสักอย่าง
“ในประเทศไทยการณรงค์ที่ประสบความสำเร็จที่สุด คือ การที่ครั้งทักษิณจัดเลือกตั้ง และพรรคประชาธิปัตย์ บอยคอยเลือกตั้งแบบไม่ใช้สิทธิ์ ได้คะแนนไม่ใช้สิทธิ์ถึง 12 ล้านเสียง เป็นเรื่องการเมือง ไม่ใช่การตบกระโหลกพรรคการเมือง ถามว่า ครั้งนี้ได้ 12 ล้านหรือไม่ เชื่อว่าไม่ได้ นอกจากนั้นจะไม่เกิดผลอะไรทางกฎหมาย แม้ทำนะดี แต่ต้องทำอย่างอื่นด้วยเพื่อบังคับให้นักการเมืองและพรรคการเมืองปรับตัวเอง ไม่ใช่แค่การเข้ามาเป็น ส.ส.”