- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- หลายภาคส่วนหนุน คอป.องค์กรขับเคลื่อน "ปรองดอง" หลังเลือกตั้งเสร็จ
หลายภาคส่วนหนุน คอป.องค์กรขับเคลื่อน "ปรองดอง" หลังเลือกตั้งเสร็จ
ปลัด ก.ยุติธรรม เชื่อ พรรคไหนเป็นรัฐบาล ความขัดแย้งก็ยังอยู่ แนะ นักการเมืองให้สัญญาประชาคมเดินหน้าปรองดองทันทีหลังรู้ผลเลือกตั้ง นักรัฐศาสตร์ ชี้ ปรองดองสำเร็จได้ โจทย์ต้องชัดเจน
นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ความขัดแย้งทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมามีความซับซ้อน อีกทั้งไม่สามารถหาคำตอบได้ว่า สาเหตุของความขัดแย้งคืออะไร หรือใครเป็นคู่ขัดแย้งที่แท้จริง แต่หากความขัดแย้งดังกล่าวไม่ได้รับการแก้ไข อาจขยายตัวไปสู่ด้านอื่นๆ อาทิ เศรษฐกิจ สังคม ฯ
“ภาคผู้ประกอบการเล็งเห็นว่า การปรองดองเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากต่อสังคม จึงอยากเรียกร้องให้ทุกฝ่ายหันมาสนใจเรื่องการปรองดอง ขณะเดียวกันองค์กรที่เข้ามาทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการเจรจาจะต้องเป็นที่ยอมรับของสังคม ทั้งนี้ องค์กรปรองดองดังกล่าวควรจะเริ่มต้นดำเนินงานทันที หลังจากการเลือกตั้งที่เสร็จสิ้น”
ด้านนายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม และกรรมการคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) กล่าวว่า สิ่งที่ควรทำขณะนี้คือ กำหนดให้การปรองดองเป็นเป้าหมายหลัก เพื่อยุติความขัดแย้งในสังคม โดยใช้กระบวนการยุติธรรมในช่วงระยะเวลาเปลี่ยนผ่าน (Transitional Justice) เป็นแนวทางดำเนินการ เพราะจะทำให้การพิจารณามีบริบทที่กว้างขวางครอบคลุมทั้งเรื่องความรับผิดชอบ การเยียวยา รวมทั้งการขอโทษ ซึ่งเป็นมิติที่มากกว่าการแก้ปัญหา โดยใช้วิธีลงโทษทางอาญาเพียงอย่างเดียว
นายกิตติพงษ์ กล่าวถึงสถานการณ์หลังการเลือกตั้งว่า ไม่ว่าพรรคใดจะเข้ามาเป็นรัฐบาล ความขัดแย้งก็ยังคงอยู่ ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่ทุกภาคส่วนจะต้องโน้มน้าวให้รัฐบาลเห็นความสำคัญของการปรองดอง ขณะเดียวกัน ทุกพรรคการเมืองจะต้องให้สัญญาประชาคมว่า จะเริ่มต้นกระบวนการปรองดอง จัดให้มีคนกลางซึ่งเป็นที่ยอมรับเข้ามาดำเนินการและนำเสนอความจริง นอกจากนี้ทุกฝ่ายจะต้องเรียนรู้ด้วยว่า สิ่งใดควรจำ สิ่งใดควรลืม
ดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงสังคมประชาธิปไตยว่า เป็นสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลง ยืดหยุ่น มีชีวิตชีวา รวมทั้งสามารถฟื้นชีวิตให้กับสังคมได้ โดยมีการปรองดองเป็นองค์ประกอบสำคัญ แต่ขณะนี้หลายฝ่ายกลับให้ความหมายของการปรองดองต่างกัน ซึ่งในที่สุดอาจนำไปสู่จุดจบที่แตกต่างกัน
“รูปแบบของการปรองดองในต่างประเทศมีอยู่หลายลักษณะและไม่จำเป็นว่าจะนำไปสู่ความสำเร็จเสมอไป แต่สิ่งสำคัญคือโจทย์ของการปรองดองจะต้องชัดเจนว่า จะปรองดองเรื่องอะไรและกับใคร”
ขณะที่ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า แม้ขณะนี้จะมีความแตกแยกในสังคมไทย แต่ก็ยังมีส่วนที่เห็นร่วมกัน 3 ข้อคือ 1.ไม่ต้องการความรุนแรง 2.ต้องก้าวผ่านความรุนแรงที่ดำเนินมาอย่างยาวนาน 3.มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ดังนั้น การปรองดองจึงเป็นความต้องการของสังคม
“ส่วนองค์กรที่เหมาะสมในการเดินหน้าแผนปรองดองนั้นจะต้องมีคุณสมบัติ 5 ประการคือ 1.มีความพอเหมาะพอดี ไม่ใช่เป็นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง 2.ได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย 3.ออกแบบให้ทำหน้าที่ปรองดองได้อย่างเหมาะสม 4.มีสาระทางวิชาการ มีหลักการ 5.ได้รับการยอมรับจากประชาคมโลก” นายสุรเกียรติ์กล่าว และว่า คอป.ถือเป็นองค์กรที่มีความเหมาะสมอย่างมาก เนื่องจากมีความเป็นกลาง ไม่เข้าไปมีส่วนร่วมกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง รวมทั้งเป็นที่ยอมรับในสังคม
ทั้งนี้ ดร.สุรเกียรติ์ กล่าวด้วยว่า ภายหลังการเลือกตั้งแล้วเสร็จ ทุกพรรคควรเดินหน้าปรองดองทันที โดยให้ คอป. เป็นองค์กรขับเคลื่อน วางรูปแบบ หาจุดร่วมจุดต่างของความคิดเห็น เพื่อค้าหาแนวทางการปรองดองควบคู่ไปกับการค้นหาความจริง ทั้งนี้ การเดินหน้าแผนปรองดองของ คอป. ควรดึงคนกลุ่มอื่นเข้ามาช่วยในการเจรจามากขึ้น