- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- เครือข่ายข้อมูลการเมืองไทย แฉมีนักการเมืองทุจริตเชิงนโยบาย 44.26%
เครือข่ายข้อมูลการเมืองไทย แฉมีนักการเมืองทุจริตเชิงนโยบาย 44.26%
ดร.จรัส สุวรรณมาลา ยกผลวิจัยพฤติกรรม ส.ส.ในสภาฯ ชุดที่ผ่านมา มีทั้งซื้อขายงบประมาณ ซื้อขายตำแหน่งขรก. นอกจากนี้ ยังพบจริยธรรมเสื่อม ส.ส.เป็นเจ้าของบาร์ อาบอบนวด เกี่ยวข้องพนัน หวย ยาเสพติด บุกรุกที่ดินของรัฐ
วันที่ 29 มิถุนายน รศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์วิทยาลัย ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์เครือข่ายข้อมูลการเมืองไทย www.tpd.in.th กล่าวถึงคอร์รัปชั่นกับการเมืองไทย ในเวทีพลเมืองอภิวัฒน์ คนเปลี่ยน ประเทศเปลี่ยน “20 คมความคิด 20 ปฏิบัติการเปลี่ยนประเทศ”ซึ่งจัดโดยสถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา (LDI) ร่วมกับเครือข่ายพลเมืองอภิวัฒน์ สำนักงานปฏิรูป (สปร.) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สภาพัฒนาการเมือง สถาบันพระปกเกล้า เครือข่ายข้อมูลการเมืองไทย ฯลฯ ณ อาคารอเนกประสงค์ 1 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
รศ.ดร.จรัส กล่าวว่า การเมืองไทยหากดูในวันนี้แทบเชื่อใครไม่ได้เลยว่า นักการเมืองจะไม่คอร์รัปชั่น ดูเหมือนใครมาเล่นการเมืองตั้งท่าจะโกงตั้งแต่ต้น ใครเข้ามาเล่นการเมืองเสียคน เพราะถูกมองเข้ามาแสวงหาอำนาจผลประโยชน์เพื่อคอร์รัปชั่น แต่ภาพพจน์ของนักการเมืองก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นเสมอไป นักการเมืองระดับชาติ ระดับท้องถิ่นที่ดีมีจำนวนมาก ขณะเดียวกันภาพพจน์ นักการเมืองทำมาหากินบนประโยชน์มีมากเช่นกัน
สำหรับนโยบายพรรคการเมืองปัจจุบันนี้ ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์เครือข่ายข้อมูลการเมืองไทย กล่าวว่า มีนัยล่อแหลมคอร์รัปชั่นทางนโยบายสูงมาก ซึ่งนักวิจัยของเครือข่ายข้อมูลการเมืองไทยได้ทำการประมวลค่าใช้จ่ายที่แต่ละพรรคการเมืองประกาศตามป้ายหาเสียงข้างถนน โดยหากมีการทำตามที่พูดไว้ พรรคการเมืองที่นำเสนอนโยบายใหม่ข้างบนถนนนั้น พรรคเพื่อไทยใช้เงินประมาณ เพิ่มจากงบประมาณประจำ ประมาณ 4 -5 ล้านล้านบาท พรรคประชาธิปัตย์ 2-3 ล้านล้านบาท พรรคภูมิใจไทยประมาณ 1.2-1.3 ล้านล้านบาท ส่วนพรรคที่จะใช้เงินมากอย่างไม่น่าเชื่อ คือ พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน ใช้มากสุด 7-8 ล้านล้านบาท และพรรคชาติไทยพัฒนาประมาณ 8 ล้านล้านบาท
“ตัวเลขดังกล่าวทำให้ภาครัฐบาลขาดดุลงบประมาณ ทำให้ประเทศเป็นหนี้ทางการคลังมาก ซึ่งนโยบายแต่ละพรรคเกทับกันไปมา เพื่อเอาใจคนเลือก จริงๆ ไม่ได้บอกว่าจะ ใช้เงินเท่าไหร่ โดยเห็นได้ว่า ไม่มีพรรคไหนไม่ก่อหนี้ ขึ้นอยู่กับว่า จะมากหรือน้อยเท่านั้น ดังนั้น การเลือกตั้งครั้งนี้ นโยบายประชานิยมจึงถือว่า สร้างหนี้แบบที่ไม่เคยมีครั้งไหนมากเท่าครั้งนี้มาก่อน และถือว่าอันตรายมาก”
รศ.ดร.จรัส กล่าวอีกว่า ในขณะที่พรรคการเมืองแย่งกันเสนอนโยบายประชานิยมที่เป็นหนี้ องค์กรภาคประชาชน คิดแตกออกไป นำเสนอนโยบายปฏิรูปสังคมไทยให้พรรคการเมือง เช่น นโยบายกระจายอำนาจ จังหวัดจัดการตนเอง นโยบายการถือครองที่ดิน นโยบายการปราบปราบการคอร์รัปชั่น รวมทั้งนโยบายเรื่องอาเซียน เรื่องเหล่านี้ภาคประชาสังคมพยายามผลักดันให้พรรคการเมืองนำไปกำหนดเป็นนโยบาย ซึ่งเราจะเห็นความแตกต่าง พรรคการเมืองกำหนดนโยบายแบบล้าหลัง ประชานิยม ซื้อเสียง ขณะที่ภาคประชาชนก้าวหน้ากว่า เสนอนโยบายเชิงปฏิรูป เชิงโครงสร้าง เชิงการจัดการระยะยาว หากพรรคการเมืองไม่พัฒนาตัวเองก็จะเป็นไดโนเสาร์
สำหรับข้อสงสัยที่ว่า พรรคการเมือง ใครอยู่เบื้องหลัง พรรคการเมืองมีเจ้าของหรือไม่ นั้น นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ กล่าวว่า พรรคการเมืองไทยหลัก ๆ มีตระกูลที่เป็นเจ้าของพรรค มีชื่อ มีนามสกุล ซ้ำๆ กันรวมทั้งประเทศมีแค่ 62 ตระกูล เช่นพรรคเพื่อไทย มี 19 ตระกูล พรรคประชาธิปัตย์มี 17 ตระกูล พรรคชาติไทยพัฒนา 13 ตระกูล พรรคชาติไทยพัฒนาเพื่อแผ่นดิน 6 ตระกูล
ดร.จรัส กล่าวด้วยว่า ถึงวันนี้การหาเสียงของพรรคการเมืองมาจุดที่ทำให้ประชาชนตาลายแล้ว นึกไม่ออกว่าใครเป็นใคร แต่อยากให้ตระหนักว่า คุณสมบัติของ ส.ส. ก็มีความสำคัญ นอกจากการสังกัดพรรคแล้ว พร้อมยกให้เห็นผลการวิจัยพฤติกรรม ส.ส.ในสภาฯ ที่ผ่านมา พบว่า มีนักการเมืองทุจริตเชิงนโยบาย 44.26% มากที่สุดอยู่ที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 58% และภาคเหนือ 52% มีทั้งการซื้อขายงบประมาณของนักการเมืองบางจังหวัด ซื้อขายตำแหน่งข้าราชการ โดยพบมากที่สุด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และกรุงเทพฯ นอกจากนี้ ยังพบจริยธรรมเสื่อมของ ส.ส.บางคนที่ พบว่า เป็นทั้งเจ้าของสถานบันเทิง อาบอบนวด บาร์ มากสุดอยู่ในกรุงเทพฯ ไม่เว้นแม้กระทั่งเกี่ยวข้องกับการพนัน หวย และยาเสพติด บุกรุกที่ดินของรัฐ ที่รถไฟ เป็นต้น
ทั้งนี้ ดร.จรัส กล่าวถึงการทำงานของเครือข่ายข้อมูลการเมืองไทย หลังการเลือกตั้งว่า การเลือกตั้งเป็นแค่เพียง 1 เหตุการณ์ ที่ผ่านมาเข้ามาในวงจรทางการเมืองทุกๆ 4 ปี ซึ่งในระหว่าง 4 ปี สำคัญกว่า สิ่งที่ละเลยไม่ได้คือการติดตาม ตรวจสอบการทำงานของนักการเมือง และรัฐบาล จากนี้ทางเครือข่ายฯ จะไม่ปล่อยให้ประชาชนไม่ได้ข้อมูลทางการเมืองอีกแล้ว โดยจะมีการติดตามการทำงานของนักการเมืองตั้งแต่วันแรกที่เปิดสภาฯ นักการเมืองออกนโยบายแล้วทำหรือไม่ หรือมีปรากฎการณ์มีกลิ่นคอร์รัปชั่นหรือไม่ และจะชักชวนให้องค์กรภาคประชาชน องค์กรที่เกี่ยวข้องช่วยกันเป็นหูเป็นตา รายงาน เข้าเว็บไซต์เครือข่ายข้อมูลการเมืองไทย www.tpd.in.th