- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- เสียงจากภาครัฐ "ขานรับ-เห็นต่าง" ต่อมติสมัชชาปฏิรูป-ข้อเสนอ คปร.
เสียงจากภาครัฐ "ขานรับ-เห็นต่าง" ต่อมติสมัชชาปฏิรูป-ข้อเสนอ คปร.
“นพ.ประเวศ” ย้ำ กระบวนการปฏิรูปเน้นขับเคลื่อนภาคสังคม-ลงพื้นที่ทำงานจริง หวัง ยกระดับความเข็มแข็ง ปรับสมดุลอำนาจเงิน-รัฐ เชื่อ สังคมมีพลัง การเมืองถึงจะก้าวตาม
จากกรณี มติครม.วันที่ 3 พฤษภาคม 2554 ที่รับทราบมติสมัชชาปฏิรูประดับชาติครั้งที่ 1 พ.ศ. 2544 รวม 8 มติ ได้แก่ 1.การปฏิรูปการจัดสรรทรัพยากรที่ดินอย่างเป็นธรรม 2.การปฏิรูปโครงสร้างการจัดสรรทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง 3.การคืนความเป็นธรรมให้แก่ประชาชน กรณีที่ดินและทรัพยากร 4.การปฏิรูประบบประกันสังคมเพื่อความเป็นธรรม 5.การสร้างระบบหลักประกันในการดำรงชีพและระบบสังคมที่เสริมสร้างสุขภาวะแก่ผู้สูงอายุ 6.การสร้างสังคมที่คนไทยอยู่เย็นเป็นสุขร่วมกัน 7.การปฏิรูปการกระจายอำนาจเพื่อเสริมสร้างและพัฒนาศักยภาพการจัดการตนเองของชุมชนท้องถิ่น สร้างความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำในสังคม 8.ศิลปวัฒนธรรมกับการสร้างสรรค์และเยียวยาสังคม
รวมทั้งข้อเสนอการปฏิรูปโครงสร้างอำนาจของคณะกรรมการปฏิรูป ของคณะกรรมการปฏิรูป (คปร.) โดยให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งให้หน่วยงาน และพรรคการเมืองต่างๆ ได้ทราบมติ และข้อเสนอดังกล่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุด มีรายงานว่า บางหน่วยงานและบางองค์กรได้ตอบกลับมาบ้างแล้ว พร้อมทั้งแสดงความคิดเห็นต่อข้อเสนอแนะเกี่ยวกับมติสมัชชาปฏิรูปฯ อาทิ
ในมติที่ 1 การปฏิรูปการจัดสรรทรัพยากรที่ดินอย่างเป็นธรรมฯ กับประเด็นการรับรองสถานภาพการเข้าอยู่อาศัยและทำกินอย่างถูกกฎหมายในพื้นที่ของรัฐที่มีข้อพิพาท
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แสดงความ ไม่เห็นด้วยกับมติดังกล่าว เพราะจะเป็นการสนับสนุนให้มีการบุกรุกพื้นที่ของรัฐเพิ่มขึ้น และเป็นตัวอย่างที่ไม่ถูกต้องแก่บุคคลที่คิดจะกระทำเช่นกัน
ด้านสำนักงานปลัดสำนักนายกฯ เห็นด้วย เพราะเห็นว่า หากมีการยกร่าง พ.ร.บ.โฉนดชุมชน ตามมติสมัชชาฯ ใช้แทนระเบียบสำนักนายกฯ จะช่วยลดปัญหาอุปสรรคด้านกฎหมายที่แต่ละหน่วยงานต้องปฏิบัติ
ส่วนมติที่ 3 การคืนความเป็นธรรมให้แก่ประชาชน กรณีที่ดินและทรัพยากร ในข้อย่อยการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมผู้ที่บุกรุกป่า กรณีไม่มีที่ดินทำกิน
กระทรวงทรัพย์ฯ ไม่เห็นด้วย เพราะจะเป็นการสนับสนุนให้มีการบุกรุกพื้นที่ของรัฐเพิ่มขึ้น เป็นตัวอย่างที่ไม่ถูกต้องแก่บุคคลที่คิดจะกระทำเช่นนั้นบ้าง
ด้านกระทรวงยุติธรรม เห็นด้วยว่าการออก พ.ร.บ.กองทุนยุติธรรม และปรับปรุง พ.ร.บ.ค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าใช้จ่ายจำเลยในคดีอาญา พ.ศ.2554 เป็นข้อเสนอแนะที่ดี และสอดคล้องกับแนวทางการดำเนินงานของกระทรวงยุติธรรมในการเสริมสร้างการเข้าถึงความเป็นธรรม
สำหรับมติที่ 7 การปฏิรูปการกระจายอำนาจฯ ในเรื่องรูปแบบการบริหารจัดการและการปกครองส่วนท้องถิ่น
กระทรวงมหาดไทย เห็นว่า สามารถกำกับดูแลและส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น การเสริมความเข้มแข็งแก่ชุมชนและประชาสังคม โดยไม่จำเป็นต้องยกเลิกราชการส่วนภูมิภาคเพียงเพื่อทำให้ท้องถิ่นเข้มแข็ง เพราะส่วนกลาง ภูมิภาคและท้องถิ่น คือความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ทั้งนี้ยังมีข้อเสนอให้ จัดสรรทรัพยากรทางการบริหารท้องถิ่นอย่างจริงจัง พัฒนาองค์กรและบุคลากรให้มีความพร้อม ปรับเปลี่ยนให้หน่วยงานที่ตั้งอยู่ในภูมิภาคเป็นราชการส่วนภูมิภาคทั้งหมด และให้ราชการส่วนภูมิภาคเป็นเจ้าภาพในการขับเคลื่อนส่งเสริมภาคประชาสังคม
ขณะที่ สำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (สกถ.) ได้นำประเด็นข้อเสนอฯ เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาทบทวน และจัดทำ (ร่าง) แผนยุทธศาสตร์ฯ และแผนปฏิบัติการ (ฉบับที่ 3 ) แล้ว
ทั้งนี้ ศ.นพ.ประเวศ วะสี ประธานคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป กล่าวถึงผลตอบรับมติสมัชชาปฏิรูประดับชาติครั้งที่ 1 ว่า โดยส่วนใหญ่มติสมัชชาฯ เป็นเรื่องเกี่ยวกับโครงสร้างอำนาจ ซึ่งถือเป็นเรื่องยากทั้งสิ้น และเมื่อเป็นเรื่องยาก โดยปกติแล้ว รัฐบาลจะไม่สามารถทำได้ เนื่องจากรัฐบาลเองก็อยู่ภายใต้โครงสร้างดังกล่าว อย่างเช่น เรื่องปฏิรูปที่ดิน ไม่มีรัฐบาลไหนเคยทำได้ ประเทศสหรัฐอเมริกาจะขึ้นภาษีที่ดินก็ทำไม่ได้ เพราะว่า คนรวยประท้วง ฉะนั้น อย่าไปฝากความหวังไว้กับรัฐบาล
“ผมบอกตั้งแต่ต้นว่า การปฏิรูปไม่เกี่ยวกับรัฐบาล แต่เป็นการขับเคลื่อนกระบวนการทางสังคม ฉะนั้น การที่เราส่งข้อเสนอไปตามกระทรวงหรือหน่วยงานต่างๆ ก็เป็นแต่เพียงธรรมเนียมเท่านั้น ขณะที่ผลตอบรับก็มีร้อยแปด บางแห่งเห็นด้วย แต่ยังไม่ทำ ซึ่งก็คงต้องขับเคลื่อนต่อไป”
ศ.นพ.ประเวศ กล่าวถึงกระบวนการสมัชชาปฏิรูปต่อจากนี้ว่า เป็นกระบวนการที่มีความต่อเนื่อง เริ่มจากการลงไปดูปัญหา ความทุกข์ยากของประชาชน จากนั้นมาวิเคราะห์ สังเคราะห์ถึงนโยบายสาธารณะที่ควรทำ ผ่านออกมาเป็นมติสมัชชาปฏิรูปดังกล่าว สุดท้ายก็คือการขับเคลื่อนภาคสังคม เพราะเมื่อใดสังคมขับเคลื่อนถึงขนาด การเมืองถึงจะทำตาม ดังนั้น เมื่อพูดถึงสมัชชาปฏิรูปจึงต้องเข้าใจว่า หมายถึงกระบวนการดังกล่าวทั้งหมด ทั้งนี้ จุดสำคัญเพื่อทำให้ภาคสังคมเข็มแข็ง
“อำนาจมีด้วยกัน 3 ส่วนคือ อำนาจรัฐ เงิน สังคม ซึ่งในสามส่วนนี้อำนาจสังคมมีขนาดเล็กที่สุด เมื่ออำนาจสังคมเล็ก ความเป็นธรรม ความถูกต้องก็ไม่เกิด ต่อให้มีรัฐบาลดีอย่างไรก็ตาม" ประธาน คสป. กล่าว และว่า ฉะนั้นเพื่อทำให้ภาคสังคมมีขนาดใหญ่ เราก็ไม่จำเป็นต้องรอ แต่ใช้วิธีลงไปทำงานในพื้นที่ 80,000 หมู่บ้าน สร้างความเข็มแข็ง มีความเชื่อมโยง ชุมชนจัดการตนเอง ท้องถิ่นจัดการตนเอง จังหวัดจัดการตนเอง ซึ่งวิธีการดังกล่าวจะเป็นการสร้างอำนาจไปในตัว
ทั้งนี้ ประธาน คสป. กล่าวด้วยว่า วัตถุประสงค์ของสมัชชาปฏิรูปไม่ใช่เพื่อต้องการเสนอรัฐบาล ซึ่งตนและนายอานันท์ ปันยารชุนได้บอกไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่า เราต้องการสร้างความเข็มแข็งให้กับประชาชน ประชาชนปฏิรูปตนเอง แต่อาจเป็นเพราะสังคมยังไม่คุ้นเคยกับเรื่องดังกล่าว มักคุ้นกับการฝากความหวังไว้กับรัฐบาลเท่านั้น
อ่านเอกสารหลัก สมัชชาปฏิรูประดับชาติ ครั้งที่ 1 ได้ที่ http://www.reform.or.th/archive/document/653